The Truth Has Two Sides

The Truth Has Two Sides 1985-06-11

Location
Talk duration
106'
Category
Public Program
Spoken Language
English, Hindi, Marathi
Live Translation
French

Current language: Thai, list all talks in: Thai

11 มิถุนายน 1985

Public Program

Geneva (Switzerland)

แม่ขอคารวะผู้แสวงหาสัจธรรมทุกคน แต่สัจธรรมก็มีสองด้าน ภาพลวงตาที่เรามองเห็นว่าเป็นสัจธรรม และแก่นแท้แห่งภาพลวงตาสามารถมองดูเหมือน เป็นสัจธรรม แต่อีกด้านหนึ่งคือสัจธรรมที่เที่ยงแท้เสมอ ที่เราต้องรู้สึก ที่ต้องได้รับประสบการณ์ ผ่านระบบประสาทส่วนกลาง ไม่ใช่มโนภาพที่เราสามารถเข้าถึงได้ด้วยการคิด หรือการใช้จินตนาการด้วยอารมณ์ แต่สัจธรรมคือสัจธรรม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่สามารถประนีประนอมได้ เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตัวเองลงเพื่อเข้าถึงสัจธรรม ในปัจจุบันเราค้นพบสิ่งต่างๆมากมายในวิทยาศาสตร์ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนเรารู้ว่าเรายังไม่รู้ อะไรเลย(เกี่ยวกับสัจธรรม) แต่อะไรก็ตามที่เป็นที่รู้จักจากภายนอก เช่นเดียวกับที่ต้นไม้ต้องมีราก และรากเหล่านี้ยังไม่เป็นที่รู้จัก ถ้าเรามองดูต้นไม้ และเมื่อมีใครพูดถึงรากของมัน เราจึงตกตะลึง เพราะเราไม่มีความรู้ในเรื่องนี้มาก่อน เราจึงถูกวางเงื่อนไขให้เห็นเฉพาะต้นไม้ และเราไม่สามารถทําให้สมองของเราเข้าใจว่า ต้นไม้จะต้องมีราก เราสามารถกล่าวได้ว่า คนก้าวหน้าในเรื่องวิทยาศาสตร์ค่อนข้างมาก จึงเจริญก้าวหน้าและกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้ว.

แต่พวกเขาไม่รู้ว่าหากพวกเขาไม่แสวงหา รากเหง้าของตน พวกเขาจะถูกทําลายลงอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เมื่อแม่อยู่ตรงหน้าพวกเธอ ไม่ควรจะมีใครรู้สึกว่าแม่มาที่นี่เพื่อทําให้ เธอขุ่นเคืองใจ แต่แม่มาที่นี่เพื่อเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับ รากเหง้าของเธอ คุณสมบัติอันประเสริฐที่มีอยู่ภายในตัวเธอ เรารู้ว่ามีพลังงานมากมายอยู่รอบตัวเรา เช่น พลังงานไฟฟ้า และแรงดึงดูดของโลกภายใต้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แต่มีพลังงานที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งกว่า ภายในตัวเรา ที่เราควรทําความเข้าใจ ด้วยความถ่อมตน และจิตใจที่เปิดกว้างเช่นนักวิทยาศาสตร์ ตอนนี้เรากําลังเผชิญกับปัญหาอะไรในโลกตะวันตก เราควรพยายามทําความเข้าใจ ดังเช่นมีบางคนในอเมริกาถามแม่ว่า มีอะไรผิดปกติในโลกตะวันตก เราต้องเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราในระหว่าง กระบวนการวิวัฒนาการ เมื่อเราพัฒนาเข้าสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม เราหล่อหลอมนิสัยใจคอและระบบคุณค่าบางอย่าง ขึ้นมา การพัฒนาอุตสาหกรรมเคยเป็นความคิดที่ดี แต่เราขาดวิจารณญาณว่าเมื่อไรที่ควรหยุด และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราไปยังประเทศ ที่มีความเป็นอุตสาหกรรมมากๆ คือเราคิดว่าเรากําลังรับประทานสารเคมี มากกว่าอาหาร ตอนนี้สมดุลคือสิ่งที่ต้องรักษาไว้ แต่จะทําอย่างไร ด้วยการทําความรู้จักรากเหง้าของเรา ตอนนี้ปัญหาแรกที่แม่รู้สึกเกี่ยวกับคนตะวันตกคือ สุขภาพจิต พวกเขาใช้สมองมากจนเกินความสมดุล เหมือนกับในอุตสาหกรรมที่ต้องมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เราต้องขายของ เราต้องมีแฟชั่นใหม่ๆ ไม่อย่างนั้นเครื่องจักรจะอดอยาก สมองของเราก็เช่นกันที่ผลิตสินค้าใหม่ๆ นี่คือการที่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น ด้วยมโนภาพ เราจึงเริ่มคิด ถึงสิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา และเราก็เห็นคุณค่าของสิ่งใดก็ตามที่เป็น ของใหม่ เราจะต้องมีของใหม่ๆ แต่ไม่ใช่สิ่งที่หายากหรือขาดแคลน หรือมีคุณค่าแบบดั้งเดิมตามประเพณี เหมือนกับที่เมื่อวันก่อนแม่พูดว่า "มีอะไรพิเศษนักหรือเกี่ยวกับฟรอยด์ (ซิกมุนด์ ฟรอยด์), ทําไมคุณจึงยอมรับเขา แทนที่จะเป็นยุง (คาร์ล กุสตัฟ จี ยุง)" เหตุผลก็เพราะเขามอบแนวคิดใหม่ให้กับเรา แต่สิ่งที่ใหม่ไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป เช่น พลาสติกเคยเป็นของใหม่เมื่อนานมาแล้ว อย่างที่คุณรู้ว่าผลลัพธ์ของการพัฒนาพลาสติกคืออะไร และถ้านี่คือความจริงเกี่ยวกับวัตถุแล้ว สําหรับจิตวิญญาณล่ะ เช่นกัน เมื่อเราแสวงหาสัจธรรม เราพยายามมองหาวิธีการใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา และแม่คิดว่าพวกปีศาจ ที่มาในรูปแบบของคุรุที่ผิดทั้งหลาย คือผลผลิตของความต้องการนี้ เมื่อเจ็ดสิบถึงร้อยกว่าปีที่แล้วนี้เอง ที่อินเดีย ทันใดนั้นคลื่นแห่งความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับความรู้แห่งรากเหง้าได้เริ่มต้นขึ้น สิ่งที่พวกเขาพูดไม่ได้ถูกบันทึกไว้ใน คัมภีร์พระเวท (Vedas) หรือคัมภีร์ปุราณะหรือในหนังสือความรู้ด้าน โลกตะวันออกเล่มไหน หรือในคัมภีร์เล่มไหนที่เขียนขึ้นหลัง พระเยซูสวรรคต เช่น ไบเบิ้ล หรือ โกหร่าน (อัลกุรอ่าน)หลัง ท่านมุฮัมมัด ซาฮิบเสียชีวิต หรือแม้แต่การประพันธ์ของท่านโซโรอัสเตอร์ (ผู้สอนศาสนาชาวเปอร์เซีย) แนวคิดใหม่เหล่านั้นไม่มีความเกี่ยวข้อง ใดๆทั้งสิ้น กับสิ่งที่ค้นพบในสมัยโบราณเกี่ยวกับ รากเหง้าของมนุษย์ เราก็มีปัญหากับศาสนาในแบบเดียวกัน เช่น ศาสนาคริสต์ พระคริสต์ลงมายังโลกมนุษย์ ตามที่คุณได้เรียนรู้ในภายหลังว่า เพื่อสร้างสรรค์สติรู้พิเศษภายในจิตวิญญาณ ของเรา ท่านสถิตอยู่ภายในตัวเรา ในศูนย์พลังพิเศษที่เราเรียกว่า จักรอักนียะ ในคัมภีร์อินเดียโบราณท่านคือมหาวิษณุ และในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด ท่านดํารงอยู่ในสัญลักษณ์รูป โอม ในโลกตะวันตกมีการเขียนบรรยายถึงท่าน อย่างแพร่หลาย ในความรู้ของตะวันตก ด้วยการใช้สมอง แต่อันที่จริงสิ่งนี้ถูกค้นพบ ในปรัชญาอินเดีย คุณไม่สามารถเข้าใจพระคริสต์ด้วยมโนภาพ เพราะท่านอยู่เหนือพ้นสมองหรือความคิด ท่านกล่าวไว้เองว่า, "คุณจะต้องเกิดใหม่อีกครั้ง" นิโคดีมุสถามว่า, "ท่านหมายถึงอะไร การเกิดใหม่" ข้าพระองค์จะต้องกลับไปสู่มดลูกของแม่หรือไม่" "ไม่ใช่" พระคริสต์ตอบ "สิ่งที่เกิดจาก กายเนื้อคือกายเนื้อ แต่ท่านจะต้องเกิดจากพระจิต (Holy Ghost) และอะไรคือพระจิต (Holy Ghost) หัวหน้าบาทหลวง (บิชอป) แห่งแคนเทอร์บูรี เคยถูกถามคําถามนี้ แม่เห็นทางโทรทัศน์ และเขาตอบว่า "พ่อไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า" ดังนั้นผู้สัมภาษณ์จึงถามเขาว่า "แล้วท่านมาทําอะไรที่นี่?" เขาตอบว่า "พ่อมาทํางานของพ่อ" ผู้สัมภาษณ์จึงตอบว่า "ถ้างั้น ผมก็มาทํางานของผม เหมือนกับ"พระเจ้า" ความเข้าใจที่เท่าเทียมระหว่างมโนภาพทั้งสอง พระจิต (Holy Ghost) คือภาพสะท้อนในตัวคุณ นี่คือกุณฑลินีหรือ? ไม่ใช่ คุณเพิ่งแสดงให้พวกเขาเห็นกุณฑลินี อันที่ต่ํากว่า ไม่ ไม่ แสดงให้พวกเขาเห็น กุณฑลินีในกระดูกกระเบนเหน็บ ตอนนี้มีการอธิบายเกี่ยวกับกุณฑลินี ไว้อย่างชัดเจนในคัมภีร์อินเดียโบราณหลายๆเล่ม มีข้อความในคัมภีร์ไบเบิ้ลกล่าวว่า "เราจะปรากฏตัวต่อหน้าท่านในรูปแบบของเปลวไฟ" นี่คือศูนย์พลังต่างๆ และนี่คือต้นไม้แห่งชีวิตที่ได้รับการบรรยายไว้ ในคัมภีร์โกหร่านขนานนามว่า อัสซัส (Assas) ไม่มีตรงไหนในคัมภีร์โบราณเหล่านี้ จนกระทั่งถึงยุคของกบีระ ยังไม่ถึงสี่ห้าร้อยปีดีนัก ก็ยังไม่มีใครพูดว่ากุลฑลินีจะสร้างปัญหาให้คุณ แต่แม่พบว่าในภายหลัง มีหลายคนเขียนหนังสือ เกี่ยวกับกุณฑลินีขึ้นมามากมาย และมีหนังสือที่หนามากเล่มหนึ่ง ที่แม่ถึงกับตะลึงเมื่อเห็นคําบรรยาย เกี่ยวกับกุณฑลีนีโดยนักเขียนชาวเยอรมัน ว่าพลังนี้ก่อให้เกิดความร้อนและ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มันสามารถทําให้คุณกระโดดโลดเต้น นี่จึงเป็นวิธีที่พวกเขาพยายามสร้าง เงื่อนไขให้คุณ ต่อต้านกระบวนการวิวัฒนาการของคุณ และศาสนาต่างๆที่เกิดขึ้นภายหลังบรรดา อวตารผู้ยิ่งใหญ่ ก็พยายามใช้เล่ห์กลแบบเดียวกัน พอลคือผู้ริเริ่ม การสร้างเงื่อนไขแบบนี้ในไบเบิ้ล อันที่จริงพอลไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระคริสต์ เขาไปอยู่ในไบเบิ้ลได้อย่างไร เป็นสิ่งที่แม่ไม่เข้าใจเลยตั้งแต่ตอนแม่ยังเล็ก หลังจากนั้นเขามาเกิดเป็นออกัสติน อีกครั้งที่เขาสร้างศาสนาขึ้นมา บริหารจัดการและวางเงื่อนไข และในวันนี้ช่างน่าประหลาดใจ ผู้คนพากันท้าทายการประสูติของพระคริสต์ พลังศักดิ์สิทธิ์ของท่านในการสร้างปาฏิหาริย์ ในตอนนี้ด้วยมโนภาพ พวกเขากําลังพยายามพิสูจน์ว่าพระคริสต์ก็เป็น แค่คนธรรมดาเหมือนเรา ยังมีการกล่าวหาที่เลวทราม ที่พวกเขาพูดเกี่ยวกับท่านและพระแม่ของท่าน. นี่คือนรกที่เราสร้างขึ้น จากมโนภาพของเราเอง เราช่างโอหังนักที่พูดแบบนี้ เกี่ยวกับผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ยิ่งใหญ่ เช่นพระคริสต์ เป็นเพราะอัตตาทําให้เราอวดดีและยโสโอหัง ที่ทําให้เราเตรียมการสําหรับการทําลายตัวเอง ด้วยการท้าทายบุคลิกภาพเหล่านั้น ซึ่งสามารถปกป้องเราอย่างแท้จริงและ นําทางเราสู่ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ อีกครั้งแล้วสําหรับผลลัพธ์ของการเห่อของใหม่ เพราะความคิดของเราต้องการแต่จะหาสิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา พัฒนาอัตตา เหมือนถ้าคุณไปที่อเมริกา คุณควรจะถามเขาว่าจะเปิดก๊อกน้ําอย่างไร เพราะก๊อกแต่ละอันล้วนแตกต่างกัน คุณอาจจะกดโดนบางปุ่มแล้วจู่ๆคุณก็ เปียกโชกไปทั้งตัว เพราะพวกเขาต้องการให้ทุกที่แปลกใหม่ และใช้เวลาเป็นชั่วโมงเพื่อตัดสินใจว่า เขาจะใช้ก๊อกน้ําแบบไหน เมื่อเข้าไปในรถอเมริกัน ควรถามเขาว่าเปิดประตูรถอย่างไร เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุคุณอาจจะไม่รู้วิธีเปิด เพราะมันอาจจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ พลังที่จะตัดสินถูกใช้จนเกินขอบเขต จนคนเหล่านั้นดูเหมือนเด็กโง่ อัตตาหยุดการเจริญเติบโตของวุฒิภาวะของคน การสร้างเงื่อนไขของอัตตาเป็นสิ่งที่แย่ที่สุด ที่ไม่สามารถกําจัดออกไป ถ้าคุณถูกวางเงื่อนไขด้วยมหาอัตตา (superego) คุณจะได้รับความเจ็บปวดและปัญหา แต่เมื่อคุณมีอัตตา คุณสร้างปัญหาให้คนอื่น คุณก้าวร้าวคนอื่น และเพื่อเอาชนะอัตตา พวกเขาจึงลองใช้กระบวนการคิดอีกครั้ง โดยการแต่งตัวเลียนแบบมนุษย์ยุคดึกดําบรรพ์ การแต่งตัวเหมือนมนุษย์ยุคดึกดําบรรพ์ ไม่ได้ทําให้สมองกลายเป็นสมองของคน ยุคดึกดําบรรพ์ แม่หมายความว่า คุณรู้ว่ามันถึงจุดสูงสุดแล้ว ควรต้องหยุดการทําตัวโง่ๆเหล่านี้ เหมือนในอังกฤษถ้าไปที่นั่นก็จะเห็นคน ย้อมผมด้วยสีสันแปลกๆ และเรียกตัวเองว่าพวกพังค์ (punk) แม่ได้ถามพวกพังค์ที่มาเข้าโปรแกรมของเราว่า "ทําไมถึงทําแบบนี้กับตัวเอง" พวกเขาตอบว่านี่จะทําให้เขามีเสน่ห์ดึงดูด สําหรับแม่พวกเขาดูเหมือนตัวตลก แต่พวกเขาคิดว่า ใครๆก็หลงเสน่ห์พวกเขาโดยการทําอย่างนั้น ดังนั้นคําสาบประการที่สองที่แม่พบ คือการที่เราต้องการให้ทุกคนมาหลงเสน่ห์ แต่นั่นมีประโยชน์อะไร มันคือการไขว่คว้าที่ปราศจากความสุข ถ้าทุกคนมาหลงเสน่ห์เรา เขาจะได้อะไรหรือคุณจะได้อะไรจากคนๆนั้น แม่ไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ แต่ในทางตรงข้าม การทําอย่างนั้นจะ สร้างปัญหาให้คุณ แม่หมายถึงว่า แน่นอนถ้าคุณกลายเป็นเหมือนกับพวกพังค์ คุณอาจจะตาบอด หรือคุณอาจจะ เริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะ แต่การที่คุณเอาแต่กวาดสายตาไปมาตลอดเวลา เพื่อดูว่ามีกี่คนที่มาหลงเสน่ห์คุณบ้าง รู้ไหมว่าคุณจะได้อะไร โรคอัลไซเมอร์ (ความจําเสื่อม) โรคที่ตามมาคือพฤติกรรมวิกลจริตขั้นต้น ตอนนี้ในอเมริกามีการค้นพบว่า ในกลุ่มประชากรที่มีอายุต่ํากว่า35ปีลงมา ทุกๆหนึ่งในห้าคนกลายเป็นคนวิกลจริต หนึ่งในห้า คุณลองนึกดู หนึ่งในห้า นี่คือสิ่งที่แม่อ่านเจอในหนังสือ รีดเดอร์ไดเจสต์ สามารถกลายเป็น สิ่งพวกเขาเรียกว่าอัลไซเมอร์ โรคอัลไซเมอร์ (โรคความจําเสื่อม) เขาบอกว่าเป็นโรคใหม่ มันเป็นชื่อของนักวิทยาศาสตร์ อัลไซเมอร์ อะไรทํานองนั้น และพวกเขาโทษว่า พออายุเลย35ปีไปแล้ว อาการจะเริ่มลุกลาม แต่สําหรับประเทศที่เรียบง่ายอย่างอินเดีย หรือประเทศอื่นๆที่ยังไม่ได้พัฒนาเท่าไรนักใน การหว่านเสน่ห์ไปทั่ว กลับไม่ปรากฏโรคนี้ พระคริสต์จึงกล่าวว่า "เราไม่ควรมีดวงตาที่เจ้าชู้" และนี่คือสิ่งที่ยากที่จะเข้าใจ ว่าคนที่ไปโบสถ์ทั้งหลายล้วนต้องการสิ่งนี้ แม่เสียใจที่ต้องพูดเรื่องนี้ เพราะแม่สังเกตเห็นว่าทุกที่ในตะวันตกที่แม่ไป นี่คือโรคร้ายที่กําลังคืบคลานเข้ามาในขณะนี้ มันดูเหมือนเป็นเรื่องไม่สําคัญ แต่ไม่ใช่เลย มันมีความหมายนัยที่ลึกซึ้งมาก ดวงตาจะต้องบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ต้องปราศจากความโลภและตัณหา สะท้อนผ่านดวงตาของเรา ทางออกเดียวที่แม่พบคือการปลุกพลังกุณฑลินี ให้การตระหนักรู้ผ่านสิ่งที่พระคริสต์ได้ ปลุกให้ตื่นขึ้นแล้วในตัวคุณ ในระบบประสาทส่วนกลางของคุณ ในจักรอักนียะที่ท่านสถิตอยู่ ตรงบริเวณเส้นประสาทตาที่มาไขว้กันในสมอง ข้างในบริเวณเส้นประสาทตาที่มาไขว้กันในสมอง ถ้าไม่มีความบริสุทธิ์ในตัวเรา จักรอักนียะจะติดขัด และนี่คือการชําระล้างอันยิ่งใหญ่ที่เรา จําเป็นต้องมีในวันนี้ ลองนึกดู คนที่บอกว่าตัวเองเป็นคริสเตียน บรรดาประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์ คือพวกที่ต่อต้านพระคริสต์ นี่คือสิ่งที่น่าประหลาดใจมาก สิ่งที่ได้รับการเทศนาสั่งสอน เช่นในอินเดีย กล่าวว่าในมนุษย์ทุกคนมีจิตวิญญาณอยู่ภายใน แต่พวกปัญญาชนที่โง่เขลาในอินเดีย กําลังวุ่นวายอยู่กับระบบวรรณะ ปัญญาชนเหล่านั้นต้องเข้าใจ ว่าพวกเขาไม่สามารถใช้กระบวนการคิดและ ใช้เหตุผลกับพระเจ้าได้ คนไม่ชอบเวลาที่แม่พูดแบบนี้ ที่ว่าเธอต้องชําระล้างตัวเองให้บริสุทธิ์ เพื่อที่จะกลายเป็นคนที่มีบุคลิกภาพ ที่บริสุทธิ์ ปัญหาของโลกตะวันตกในปัจจุบันคือ การสูญเสียคุณค่า เท่าที่เกี่ยวข้องกับการชําระล้างตนเอง ให้บริสุทธิ์ มันไม่ใช่การชําระล้างร่างกาย ไม่ใช่การที่ชีวิตของคุณจะสะอาดจากภายนอก ไม่ใช่การที่คุณแสดงตัวตน แต่หมายถึงภายใน การทําลายล้างไม่ได้เกิดขึ้นจากภายนอก มันเกิดขึ้นจากภายใน เรากําลังทําลายตัวเองอยู่ทุกขณะ เมื่อแม่ไปอเมริกาครั้งแรกในปี 1972 (พ.ศ. 2515) แม่บอกพวกเขาว่า "พวกคุณจงอย่าเชื่อทฤษฎีของ ฟรอยด์ (ซิกมุนด์ ฟรอยด์) และอย่าหมกมุ่นกับพฤติกรรมวิปริตเหลวไหล ถ้าคุณทําเช่นนั้น อาจจะเกิดโรคร้ายขึ้นกับคุณ ที่ฆ่าคนทั้งประเทศ และประเทศอื่น" ตามที่คุณรู้ว่าโรคเอดส์กําลังแพร่ระบาด คุณคงดีใจที่แม่จะบอกคุณว่า ด้วยการตื่นขึ้นของพลังกุณฑาลินี คุณสามารถรักษาโรคเหล่านั้นได้ทั้งหมด เพราะเมื่อพลังกุณฑลินีตื่นขึ้น สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นคือ ไม่ว่าอะไรที่คุณได้ทําลงไปแล้วล้วนจบสิ้น มันเกิดขึ้นในทุกจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จักรอักนียะ ในจักรอักนียะ เมื่อพลังเปิดจักรอักนียะออก เทพประจําจักรคือพระคริสต์ก็จะตื่นขึ้น อัตตาและเงื่อนไข ซึ่งทําให้เรามีโครงสร้างเหมือนไข่ ก็จะถูกดูดซับ โดยธรรมชาติ เนื่องจากกุณฑลินีคือพลังแห่งชีวิต ที่สามารถชําระล้างคุณได้อย่างสะอาดหมดจด จากนั้นคุณจะเชื่อว่าพระคริสต์เสียสละ ชีวิตของท่าน เพื่อการทําความสะอาดและชําระล้างพวกเราให้ บริสุทธิ์จากบาป ท่านถูกทรมาณและถูกฆ่าโดยการตรึง กางเขนเพื่อสิ่งนี้ เพื่อที่ท่านจะสามารถสถิตอยู่ในพื้นที่เล็กๆนี้ ที่อยู่ระหว่างอัตตาและเงื่อนไข และนี่ก็ถึงเวลาแล้วที่จะพิสูจน์ว่า บรรดาอวตารผู้ยิ่งใหญ่และคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่ เหล่านั้นเป็นของจริง ตอนนี้เมื่อเราพูดถึงเทพเจ้าคนมักจะงง เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องราว เหล่านี้มาก่อน เหล่าเทพเจ้าคือขั้นตอนสําคัญในการช่วยเรา ก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ เปรียบได้กับผู้นําต่างๆที่ลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อช่วยเรา พวกเขามีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายใน และทุกครั้งที่พวกเขาลงมายังโลกมนุษย์ ก็จะพยายามมอบสติรู้รูปแบบใหม่ให้กับเรา เช่นเราเริ่มจากจักรที่หนึ่ง ซึ่งไม่ใช่สิ่งใดนอกจากการที่ธาตุคาร์บอน ก่อตัวขึ้น ตามกฏทางเคมี ด้วยการสร้างธาตุคาร์บอนขึ้นเท่านั้น เราจึงสามารถมีอินทรีย์เคมี และหลังจากนั้นเรามีกรดอะมิโน และกรดอะมิโนก็ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิต จากสิ่งมีชีวิตก็กลายมาเป็นอะมีบา ตามที่รู้กัน และจากอะมีบาเราได้กลายมาเป็นมนุษย์ในวันนี้ แต่ทําไมเราไม่คิดถึงเหตุผล สาเหตุว่าทําไมเราถึงกลายเป็นมนุษย์ เรามีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่เราเท่านั้นที่กลายเป็นมนุษย์ และอะไรคือเป้าหมายในชีวิตของเรา แค่เพื่อจะดูนาฬิกา และผลาญเวลาในบ่อนการพนันงั้นหรือ หรือเราเกิดมา เพื่อที่จะไม่เคารพตัวเอง การใช้ชีวิตแบบไร้ความหมายถือเป็นอาชญากรรม ในสายตาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณจะต้องรู้ว่าคุณคือบุคลิกภาพที่ลึกซึ้งมาก มองดูจักรทั้งเจ็ดที่ถูกสร้างขึ้นในตัวคุณ คุณคือเครื่องมือที่ดีเลิศกว่าเครื่องมือใดทั้งหมด ที่คุณจะสามารถนึกออก สําหรับตอนนี้สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นกับคุณคือการจุด ชนวนครั้งสุดท้ายเท่านั้น และเมื่อมันเกิดขึ้นคุณจะได้รับการชําระล้าง จนสะอาดหมดจด แล้วคุณจะกลายเป็นเครื่องมือที่แท้จริง เนื่องจากเครื่องมือทุกชิ้นจะต้องเชื่อมต่อกับ ต้นกําเนิด ในทํานองเดียวกันคุณจะต้องมีการเชื่อมต่อ แล้วคุณจะตระหนักว่าคุณมหัศจรรย์เพียงใด คุณเต็มไปด้วยพลังและความคิด สร้างสรรค์เพียงใด ตระหนักถึงพลังอํานาจยิ่งใหญ่ที่คุณมี แต่มันไม่ใช่สําหรับคนเหลวไหลเหยาะแหยะ หรือสําหรับคนที่ไม่เคารพตัวเอง มันจะเกิดขึ้นกับคนที่จริงแท้และแสวงหา อย่างจริงใจเท่านั้น แสวงหาอย่างแท้จริงและจริงใจ ดังนั้นมันสําคัญมากที่เราควรรู้ว่า เรากําลังจะ กลายเป็นประชากรในอาณาจักรของพระเจ้า เราต้องได้รับการตระหนักรู้ เราต้องเข้าสู่ตัวตนภายใน พระพุทธเจ้ามาถึงขอบเขตนี้และกล่าวว่า "ไม่ต้องพูดถึงพระเจ้า แต่จงพูดถึงตัวตนภายใน" แม้แต่ท่านมหาวีระก็กล่าวไว้เช่นเดียวกัน นิกายเซนก้าวไปไกลกว่านั้น ว่าจงพูดถึงแต่สภาวะสติรู้ปราศจากความคิด นี่คือสติรู้ในลําดับแรก ที่เราจะได้รับเมื่อกุณฑลินีตื่นขึ้น ที่คุณจะมีสติรู้อย่างสมบูรณ์โดย ปราศจากความคิด เหมือนตอนที่คุณมองดูทะเลสาบที่สวยงาม ที่ไม่มีระลอกคลื่น คุณจะมองเห็นภาพสะท้อนของทุกอย่าง รอบทะเลสาบอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มอบความปิติสุขอย่างยิ่ง จนถึงทุกวันนี้เรายังไม่รู้จักความปิติสุข ที่ปราศจากความเป็นทวิภาวะ เรารู้จักแต่ความสุขที่เป็นการเอาใจอัตตาเท่านั้น และเมื่ออัตตาพังลงเพียงเล็กน้อยเราก็เริ่ม ไม่มีความสุขเสียแล้ว นี่คือภาพลวงตาที่เรามี เพื่อเข้าถึงสัจธรรมเราต้องเข้าสู่ตัวตน ที่แท้จริง และตัวตนที่แท้จริงอยู่เหนืออัตตาและเงื่อนไข หลังจากนั้นคุณจะไม่ได้มีชีวิตอยู่กับอารมณ์ และความคิดอีกต่อไป แต่คุณจะมีชีวิตอยู่บนความเป็นจริง ที่สัมผัสได้ เหมือนกับตอนที่คุณรู้สึกถึงลมเย็นในฝ่ามือ ราวกับว่านี่คือคอมพิวเตอร์ที่เริ่มทํางาน และคุณกําลังมีสายสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่เมื่อคุณยื่นมือออกไปพร้อมด้วยคําถาม คุณจะได้รับคําตอบผ่านลมเย็นที่แผ่วเบา ซึ่งหมายถึง ใช่ ดีมาก หรือถ้าเป็นลมร้อน นั่นหมายถึง แย่ ไม่ดี หรือคุณอาจจะมีแผลพุพอง เมื่อคุณเข้าใกล้ใครบางคน ที่มีบุคลิกภาพแบบถูกครอบงําโดยวิญญาณ ข้อมูลทุกอย่างมาถึงคุณจากจิตไร้สํานึก ที่ตอนนี้ได้กลายเป็นสติรู้ในระบบประสาท ส่วนกลาง นี่คือสิ่งที่เราต้องเข้าใจ ว่าจิตไร้สํานึกได้กลายเป็นสติรู้ ได้กลายเป็นสติรู้ ดังนั้นข้อมูลอะไรก็ตามที่คุณได้รับ จนถึงตอนนี้ จากจิตไร้สํานึก สามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ด้วยเหตุผล ดังนั้นสิ่งแรกที่จะเกิดขึ้น กับระบบประสาทส่วนกลางคือคุณกลายเป็น อีกครั้งที่แม่บอกว่า คุณกลายเป็นสติรู้แบบกลุ่ม มันไม่ใช่มโนภาพ แต่คุณได้กลายเป็นสิ่งนั้น นอกจากนี้คุณยังรู้จักตัวเอง เพราะคุณรู้สภาพจักรของคุณ และถ้าคุณรู้วิธีการดูแลรักษาจักรเหล่านี้ คุณจะสมบูรณ์แบบทั้งสุขภาพและความปิติสุข นี่คือบทนําสําหรับสหจะโยคะ "สหะ" แปลว่า ด้วยกัน "จะ" แปลว่า เกิด มันจะเป็นไปเองโดยธรรมชาติ และ การรวมเป็นหนึ่งคือความหมายของคําว่า "โยคะ" นอกจากนี้ยังมีอีกความหมายหนึ่งคือ "ยุกติ" แปลว่า "เล่ห์กล." ยุกติ และยังแปลว่าความเชี่ยวชาญ คล่องแคล่ว อีกด้วย เราจะทําอย่างไรเมื่อพลังเริ่มไหลเวียน ผ่านตัวเรา เพื่อที่จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งนี้ เราจะต้องถอดรหัส ทุกอย่างมาจากตัวคุณ เทียนที่ได้รับการจุดแล้วจะส่งต่อแสงสว่างไป ยังเทียนเล่มอื่นๆ ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ทุกอย่างเป็นของคุณ ซึ่งคุณจะต้องได้รับการรู้แจ้ง และสถาปนาการรู้แจ้งในตัวเอง และทุกอย่างจะต้องไม่มีค่าใช้จ่าย ต้องฟรี เพราะนี่คือของขวัญจากธรรมชาติ เป็นกระบวนการที่มีชีวิต คุณไม่สามารถจ่ายเงินซื้อได้ คุณไม่สามารถจ่ายเงินให้กับพระแม่ธรณีสําหรับ เมล็ดพันธุ์ที่งอกเงย คุณได้จ่ายอะไรบ้างหรือไม่ คุณจ่ายให้ดอกไม้ไปเท่าไรเพื่อที่ดอกไม้ จะกลายเป็นผลไม้ ธรรมชาติไม่เข้าใจเรื่องเงิน ในทํานองเดียวกันพระเจ้าไม่เข้าใจเรื่องเงิน เช่นกัน แต่วิถีชีวิตของเราทุกวันนี้ เราจ่ายเงินเพื่องานของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสวิตเซอร์แลนด์ คนเชื่อว่า ถ้าบริจาคเงินให้กับประเทศอื่น ก็ถือว่าได้ทํางานของพระเจ้าแล้ว ความยากจนเกิดขึ้นจากมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า ประเทศอย่างอินเดียที่ถูกปกครอง กว่าสามร้อยปี ถ้าจะกลายเป็นประเทศยากจนก็ไม่น่าแปลกใจ ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าด้วยการบริจาคเงิน ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ทํางานของพระเจ้า นี่คือปัญหาของมนุษย์ที่สร้างขึ้น ด้วยน้ํามือมนุษย์ และแก้ปัญหาโดยมนุษย์ งานของพระเจ้าคือความเมตตากรุณา อันบริสุทธิ์ ความเมตตาที่ไม่พูด ที่ไม่สามารถตีราคาเป็นเงิน ที่ไหลริน ที่เแผ่กระจาย ที่กระทํา ไม่คาดหวังสิ่งใด ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่สามารถถูกฆ่า ไม่ต้องการการปกป้องใดๆ นี่คือสิ่งที่มันเป็น งานของพระเจ้า เพราะสําหรับพระเจ้าไม่มีใครที่เป็นคนอื่น เราทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ ถ้ามือนี้ช่วยเหลือมืออื่นๆ จะมีข้อผูกมัดอะไรอีก ดังนั้นเราจะต้องรู้ความแตกต่าง ระหว่างการทํางานของพระเจ้าที่แท้จริง และภาพลวงตา คุณสมบัติของสิ่งศักดิ์สิทธิ์เปรียบได้กับ น้ําที่ดับกระหายให้แก่เราได้ ให้แสงสว่างเพื่อนําทางคุณ มอบความเข้มแข็งเพื่อที่คุณจะสามารถยืนหยัด ในสิ่งที่ถูกต้อง มอบความเมตตากรุณาให้คุณ เพื่อที่คุณจะได้มีความอิ่มเอมใจกับความ ดีงามของคุณ มอบแรงดึงดูด ที่ช่วยยกระดับทางจิตวิญญาณให้คุณ ค้นพบไข่มุกในมหาสมุทรแห่งภาพลวงตา มอบความสงบสุขทั้งภายในและภายนอก คุณจะชุ่มฉ่ําในสายฝน แห่งความปิติสุขและความเบิกบานอยู่เสมอ มันเป็นสิทธิของคุณที่จะได้รับสิ่งนี้ คุณต้องได้รับไป นี่คือเหตุผลที่คุณมาอยู่ตรงนี้ แต่คุณต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มันสําคัญมาก เหมือนกับกิริยาแห่งความสง่างาม เมื่อใครบางคนมอบเหรียญรางวัลให้กับคุณ คุณก้มศีรษะลงอย่างไร ในทํานองเดียวกันคุณได้รับการตกแต่ง ให้ดีงามด้วยสิ่งนี้ คุณต้องน้อมศีรษะของคุณลงต่อหน้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมื่อผู้ชมตบมือให้คุณ โห่ร้องอย่างยินดีให้กับคุณ ลุกขึ้นยืนตบมือให้คุณ ผู้แสดงจะโค้งคํานับ เขาคํานับผู้ชม เขาคํานับผู้ชม เอาล่ะ ตอนนี้ ในทํานองเดียวกันคุณต้องโค้งคํานับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยอัตโนมัติ เราปล่อยวาง อัตตาและเงื่อนไข แม่หวังว่าวันนี้คุณทุกคนจะได้รับการตระหนักรู้ และในวันมะรืนนี้แม่จะพูดถึงจิตวิญญาณ แม่หวังว่านั่นจะสะดวกสําหรับคุณที่จะมาฟัง ภายหลังคุณต้องสถาปนาสิ่งนี้ในตนเอง อย่างสมบูรณ์ มิฉะนั้นมันจะเหมือนนิทานสุภาษิตของพระคริสต์ ที่เมล็ดพันธุ์ที่งอกแล้ว ไม่อาจหยั่งรากได้ ขอให้พระเจ้าอวยพรทุกคน คุณต้องการแม่ เพื่อจะถามบางเรื่องใช่หรือไม่? ดี เราลองมารับประสบการณ์กันเดี๋ยวนี้เลย จะปกป้องตนเองจากผู้อื่นได้อย่างไร? จากคนที่คุณรู้สึกสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ไม่ดี ในจักรของเขา? ปัญหาอีโก้ เอาละ นี่เป็นสิ่งที่พวกคุณต้องเรียนรู้ ก่อนที่จะรับการตระหนักรู้ คุณก็ต้องรับปัญหาจากผู้อื่นอยู่แล้ว เพียงแต่คุณสัมผัสไม่ได้ แต่หลังการตระหนักรู้คุณจะสัมผัสได้ แต่ก็ได้ชั่วคราว เหมือนเป็นสัญญานบ่งบอก เพื่อให้คุณเรียนรู้ที่จะปกป้องตนเอง และเมื่อคุณเข้ามายังศูนย์ของเรา พวกเขาจะอธิบายทุกๆ เรื่องให้คุณได้อย่างละเอียด เมื่อใดที่แม่มาที่สวิสเซอร์แลนด์ หรือที่อื่น แม่ได้เห็นบ้านซึ่งเต็มไปด้วยผู้คน พวกเขาชอบมาฟังแม่บรรยาย แต่จะไม่ชอบฟังอยู่หนึ่งเรื่อง นั้นคือเรื่องที่พวกเขาต้องนํากลับไปปฏิบัติ ความเข้าใจที่สมบูรณ์ การเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ไม่มีหลักสูตร ไม่มีหลักสูตรสําหรับการปฎิบัติ แต่คุณต้องเข้าใจด้วยตนเอง จากผู้อื่นที่ได้เข้าถึงแล้ว คุณสามารถเป็นปรมาจารย์ด้วยตนเอง เงื่อนไขประการหนึ่งคือพวกคุณต้องเป็น ผู้ให้ด้วยในบางครั้ง คนสวิสเก่งเรื่องการทํานาฬิกาที่มีคุณภาพ พวกเขาต้องการให้คนอื่นประหยัดเวลา แต่พวกเขากลับไม่มีเวลาให้พระผู้เป็นเจ้า เช่นเดียวกับคนญี่ปุ่นที่เก่งมากเรื่องนาฬิกา พวกเขาก็ไม่มีเวลาให้กับพระเจ้า พวกเขาผลิตนาฬิกาให้ผู้อื่น ไม่ใช่ให้ตนเอง พวกเขาวุ่นวายกับการทํานาฬิกา พวกคุณก็ต้องรู้จักเห็นแก่ตนเองด้วย คุณต้องหัดมองตนเอง ควรเผื่อเวลาให้พระเจ้า และให้ตนเอง หากคุณมีคําถาม คุณควรตระหนักเสมอว่า เรามีศูนย์ประจําอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ คุณสามารถไปที่นั้นและพบปะกับคนที่นั่น สามารถได้รับคําตอบต่างๆ จากพวกเขา เริ่มแรก แม่ต้องขอให้พวกคุณ จงให้อภัยตนเอง และให้ลืมเรื่องใดๆ ที่แม่ได้พูดไปแล้ว เพราะแม่ไม่ต้องการให้ พวกคุณรู้สึกผิดกับเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น นี้คือปัญหาใหญ่ที่สุดในโลกตะวันตก การที่ผู้คนรู้สึกผิดกับทุกสิ่ง แม่หมายถึงขนาดใส่เสื้อผ้าที่เข้ากัน คนก็ยังเริ่มรู้สึกผิดกับมันได้ มันเลยเถิดไป วิธีที่พวกเรารู้สึกผิด ดังนั้นแม่จึงต้องขอร้อง ให้พวกคุณเลิกรู้สึกผิดกับเรื่องใดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่คุณเคยทํามา อะไรก็ตามที่เคยเกิดขึ้น คุณต้องรู้ว่า พวกคุณคือวิหารของ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ และกุณฑลินีของคุณก็สามารถ ให้การตระหนักรู้แก่คุณ ชําระล้างคุณให้บริสุทธิ แต่จงอย่ารู้สึกผิดกับสิ่งใด นี่คือเงื่อนไขประการแรก เราจะต้องมีท่าทีที่ร่าเริงเป็นมิตรต่อตนเอง เพราะเรากําลังเดินทางเข้าสู่ อาณาจักรของพระเจ้า เรื่องที่สองที่แม่ต้องขอร้องก็คือ พวกเราต้องใช้ประโยชน์จากพระแม่ธรณี แม่รู้ว่ามันอาจจะเย็นไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร โปรดถอดรองเท้าออก ให้เท้าของคุณสัมผัสพื้น บางครั้งรองเท้าก็คับแน่นเกินไป ทําให้คุณไม่สามารถสัมผัสกับพระแม่ธรณีได้ นี่เป็นวิธีที่ง่ายมากๆ ง่ายมากจริงๆ เพราะพวกคุณพร้อมแล้ว มันเป็นเรื่องง่ายมากๆ เพราะพวกคุณพร้อมอยู่แล้ว ในขั้นแรกเราต้องพยายาม พยายามรู้สึกถึงจักรของเรา และชําระล้างจ้กรต่างๆ ด้วยตนเอง เพราะหากมีปัญหาใดๆก็ตาม มันสามารถถูกขจัดได้ ดังนั้น แม่จะบอกคุณว่าต้องวางมือขวาอย่างไร ส่วนมือซ้ายนั้นให้วางยื่นตรงมาที่แม่อย่างนี้ เป็นสัญลักษณ์ว่าคุณปรารถนาการตระหนักรู้ ส่วนมือขวานั้นให้ใช้เพื่อ วางบนจักรต่างๆ ทางด้านซ้าย มันง่ายมากๆ เรื่มแรก ให้เราวางมือขวาบนหัวใจเมื่อแม่บอกคุณ หลังจากนั้นให้วางมือบนส่วนบนของท้องน้อย หลังจากนั้นก็เลื่อนไปที่ส่วนล่างของท้องน้อย และอีกครั้งเลื่อนไปที่ด้านบนของท้องน้อย จากนั้นเลื่อนมือไปที่หัวใจอีกครั้ง จากนั้นขอให้คุณวางมือไว้ที่นี่ ที่ระหว่างต้นคอและไหล่ ทางด้านหน้าอย่างนี้ ไม่ใช่ทางด้านหลัง นี่คือจักรที่มีปัญหาหนักที่สุดเสมอ เป็นจักรที่มีปัญหาเมื่อคุณรู้สึกผิด มองไปที่นั้นเสมือนว่าคุณกําลังมองของที่ตลก เรื่องอะไรจะต้องไปรู้สึกผิด เป็นการปรุงแต่งความคิดอย่างหนึ่ง เป็นมายาคติ เอาละ ตอนนี้ให้วางมือ ไว้บนหน้าผากอย่างนี้ เลื่อนมือไปที่ด้านหลังศีรษะ กางฝ่ามือออก และวางมือส่วนนี้ลงบนกลางศรีษะ กดแรงๆ และหมุนมือ 7 ครั้งตามเข็มนาฬิกา เมื่อแม่บอกคุณ อย่าพยายามหยุดความคิดหรืออื่นใด มันจะค่อยๆ เป็นไปเอง หากมีความคิดวุ่นวายเกินไป ให้คุณวางสติไว้ที่บริเวณเหนือศรีษะ เริ่มกันได้แล้ว พวกคุณทุกคนต้องทําด้วยกัน ผู้ใดที่ไม่ต้องการทําก็ควรออกไป อย่าสร้างปัญหาให้ผู้อื่น เพราะพวกเขาจะรู้สึกกังวล มันไม่สุภาพ เอาละ ให้ทุกคนหลับตาลง ให้ถอดแว่นตาออกก่อนด้วย เพราะคุณไม่จําเป็นต้องมองอะไรตอนนี้ คุณต้องหลับตาลง ตอนนี้ ให้วางมือซ้ายยื่นตรงมาที่แม่แบบนี้ จงมีศรัทธาในตนเอง จงให้อภัยตนเองและหลับตาลง ขอให้หลับตา หลับตาและวางมือขวาบนหัวใจ วางมือซ้ายยื่นมาทางแม่ บนหัวใจของคุณ วางมือซ้ายหันมาทางแม่ ส่วนมือขวานั้น เอาไว้สําหรับการกระทํา (บอกจิตวิญญาณภายในของเรา) โปรดวางมือขวาบนหัวใจ มือขวาบนหัวใจ ดังนั้น มือซ้ายให้วางหงายขึ้นบนตัก ทําตัวสบายๆ คุณต้องทําตัวสบายๆ ตอนนี้ คุณต้องถามแม่ เป็นคําถามพื่นฐานที่สําคัญยิ่ง ในหัวใจเป็นที่สถิตย์ของจิตวิญญาน ดังนั้นโปรดถามแม่ 3 ครั้งว่า คุณแม่ ข้าพเจ้าเป็นจิตวิญญานใช่หรือไม่? คุณจะเรียกแม่ว่า "ศรีมาตาจี" ก็ได้ หรือเรียก "คุณแม่" อย่างไรก็ได้ตามที่คุณสะดวก คุณต้องมีศรัทธาในตนเอง ตอนนี้ให้เลื่อนมือขวาไปที่ช่วงท้องของคุณ ตอนบนของช่วงท้องข้างซ้าย และกดฝ่ามือลงไปที่บริเวณนั้น นี่คือศูนย์กลางของการเป็นนายแห่งตนเอง ถูกสร้างขึ้นมาโดยศาสดาพยากรณ์ซึ่งอวตาร ลงมายังโลกนี้ ณ จุดนี้ คุณต้องถามคําถามอีกเรื่องหนึ่งกับแม่ ถามว่าคุณเป็นจิตวิญญานใช่หรือไม่ คุณต้องเป็นผู้ชี้ทางของตนเอง ดังนั้น คุณต้องพูดว่า "คุณแม่" ข้าพเจ้าคือผู้ชี้นําทางของตนเองใช่หรือไม่?

ข้าพเจ้าคือศาสดาพยากรณ์ใช่หรือไม่? ข้าพเจ้าคือคุรุแห่งตนใช่หรือไม่? ข้าพเจ้าเป็นนายของตนเองใช่หรือไม่? สามครั้ง กรุณาวางมือลง ที่ด้านล่างของท้องน้อยและกดมือลงไป นี่คือศูนย์พลัง แห่งความรู้ว่าด้วยสิ่งศักดิ์สิทธิ ความรู้นี้มิได้มาจากการคิดปรุงแต่ง แต่เป็นเทคนิกที่ ถูกติดตั้งไว้ในระบบสมองส่วนกลางของคุณ ณ ศูนย์พลังนี้ คุณต้องกล่าวถึงเรื่องบางอย่าง เพราะแม่ไม่สามารถจะบังคับคุณ ให้ยอมรับกระบวนการตื่นขึ้นของ พลังกุณฑลินีได้ คุณต้องขอด้วยตนเองว่า คุณต้องการความรู้ที่แท้จริง เป็นความรู้ที่บริสุทธิ ดังนั้น ขอให้คุณพูดในใจหกครั้งว่า "คุณแม่" ขอให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้ที่แท้จริง ขอให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้ที่บริสุทธิ ด้วยการกล่าวเช่นนี้ พลังกุณฑลินีจะเริ่มเคลื่อนไหว โปรดขอเช่นนี้ หกครั้ง "คุณแม่" ขอให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้ที่แท้จริง ความรู้ที่บริสุทธิ ตอนนี้ เราต้องเปิดทางให้พลังกุณฑลินี ซึ่งได้ตื่นขึ้นแล้ว โปรดหลับตาลง ยกมือขวาขึ้น และวางมือขวาไว้ที่ท้องน้อย หลับตา อย่าลืมตาในระหว่างนี้ เพราะสติจะต้องกลับเข้าสู่ภายใน ที่จุดนี้ อย่างที่แม่ได้บอกคุณไปแล้วว่าเป็นศูนย์ของการเป็น นายแห่งตนเอง ณ ที่นี้คุณต้องกล่าวด้วยความศรัทธาในตนเอง อย่างเต็มเปี่ยม กล่าวว่า "คุณแม่" ข้าพเจ้าเป็นนายของตนเอง ข้าพเจ้าคือผู้นําทางให้ตนเอง ข้าพเจ้าเป็นศาสดาของตนเอง กล่าวเช่นนี้สิบครั้ง โปรดอย่ารู้สึกผิดในช่วงที่คุณกล่าวเช่นนั้น กรุณาอย่ารู้สึกผิด คุณคือศาสดาพยากรณ์ วิลเลียม เบลคกล่าวไว้ว่าบรรดาสาวกของพระเจ้า ซึ่งหมายถึงผู้แสวงหา จะกลายเป็นศาสดาพยากรณ์ และพวกเขาจะมีพลังทําให้ผู้อื่นกลายเป็น ศาสดาพยากรณ์ด้วย พวกคุณคือคนของพระเจ้า และคุณจะกลายเป็นศาสดาพยากรณ์ เอาละ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว วิลเลียม เบลค ช่วยได้ จากนี้ให้วางมือไว้ที่หัวใจ คุณไม่ควรจะกล่าวเร็วเกินไป แต่ให้กล่าวด้วยความเข้าใจและความล่มลึก ณ จุดนี้ คุณต้องกล่าวอีกครั้ง ด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมในตนเองว่า "คุณแม่" ข้าพเจ้าคือจิตวิญญาณ ขอให้กล่าวสิบสองครั้ง ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ใช้ได้ ตอนนี้ให้เลื่อนมือไปที่ บริเวณช่วงคอและไหล่ วางค่อนไปทางด้านหลังคุณจะได้กดมือลงได้ ณ จุดนี้คุณต้องกล่าว ด้วยศรัทธาในตนเองที่เต็มเปี่ยมว่า "คุณแม่" ข้าพเจ้าไม่มีความผิดใดๆ ทั้งสิ้น คุณต้องรู้ว่านอกจากพระเจ้า ซึ่งก็คือมหาสมุทรแห่งความรักความเมตตา เหนือสิ่งอื่นใดพระองค์คือ มหาสมุทรแห่งการให้อภัย คุณจะเคยทําความผิดใดๆ มาก็ตาม เมื่อเปรียบกับพลังอํานาจแห่งการให้อภัย ของพระองค์แล้ว คุณไม่สามารถมีความผิดใดๆ ได้ ดังนั้น โปรดกล่าวสิบครั้งว่า "คุณแม่" ข้าพเจ้าไม่มีความผิดใดๆ บางคนรู้สึกว่าเขาไม่สามารถจะเชื่อได้ว่า เขาไม่มีความผิด เพื่อเป็นการลงโทษตนเอง ให้พวกเขาพูด 108 ครั้ง ดีขึ้นแล้ว ไม่มีใครต้องการถูกลงโทษ เป็นความคิดที่ดี ดีขึ้นหรือยัง? ตอนนี้ กรุณาวางมือไว้ที่หน้าผาก โดยให้ฝ่ามือแนบกับหน้าผาก กดมือลงทั้งสองด้าน วางฝ่ามือพาดข้ามหน้าผาก แม่หมายถึงให้วางตามแนวนอน และกดฝ่ามือลงแรงๆ ณ ที่นี้ คนต้องกล่าว จะกี่ครั้งไม่สําคัญ แต่ต้องกล่าวจากใจว่า "คุณแม่ ข้าพเจ้าให้อภัยทุกๆ คน" บางคนคิดว่าเป็นเรื่องยาก แต่มันเป็นมายาเมื่อคุณเชื่อว่า คุณให้อภัยหรือไม่ให้อภัย แต่หากคุณให้อภัยทุกๆ คน ในกรณีนี้คุณก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของคนไม่ดี ในแง่ของการเป็นมายา ตอนนี้ ขอให้วางมือไว้ที่ด้านหลัง ทางด้านหลังของศีรษะ โดยวางมือให้แน่น กดมือไปทางด้านหลังเล็กน้อยและกดให้แน่น ณ ที่นี้ คุณต้องกล่าว อาจจะกล่าว เพื่อความพึงพอใจของคุณว่า โอ สิ่งศักดิ์สิทธิขอได้โปรดให้อภัยแก่ข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าได้ทําสิ่งใดผิดต่อท่านไป ตอนนี้ ขอให้กางมือออก และวางฝ่ามือลงที่เหนือศีรษะ บริเวณกระดูกยอดศีรษะและกดแรงๆ ตามเข็มนาฬิกา และให้กล่าวว่า คุณต้องการการตระหนักรู้ เพราะแม่ไม่สามารถที่จะฝืนอิสรภาพของคุณ อีกครั้งหนึ่ง กรุณากล่าวว่า "คุณแม่ ข้าพเจ้าต้องการการตระหนักรู้" "กรุณาให้การตระหนักรู้แก่ข้าพเจ้า" เจ็ดครั้ง ให้ใช้ฝ่ามือกดลงไปเท่านั้น มิใช่ใช้นิ้วกด ขอให้คุณเอามือลงอย่างช้าๆ ค่อยๆ ลืมตา วางมือขวาให้หันมาหาแม่ วางมือซ้ายให้อยู่เหนือศีรษะ ไม่ต้องคิด อย่าใช้ความคิด ลองดูว่ามีกระแสลมเย็นออกมาจากศีรษะหรือไม่ กรุณาลองเปลี่ยนมือ คราวนี้ให้ลองใช้มือขวา และลองสังเกตด้วยตนเองว่ามีลมเย็นออกมาหรือไม่ อย่าเป็นกังวล มันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ละเอียดมาก ลองเปลี่ยนมืออีกครั้ง คราวนี้ให้ลองวางมือแบบนี้ และให้กดไปทางด้านหลังของศีรษะ และให้ถามคําถาม ที่ไมค์ เข้ามาให้ใกล้ไมค์ แล้วให้ถามคําถามว่า "คุณแม่ นี่คือลมเย็นของพระจิต (Holy Ghost)ใช่หรือไม่?" นี่คือพรหมศักติใช่หรือไม่? นี่คือความรักของพระเจ้าอันแผ่ไพศาลไปทั่วใช่หรือไม่ คราวนี้กรุณาเอามือลง สังเกตด้วยตนเอง อย่าใช้ความคิด คุณรู้สึกลมเย็นบนมือหรือไม่? คนที่รู้สึกถึงลมเย็นบนมือ มันละเอียดอ่อนมาก ถ้ารู้สึกว่าลมเย็นออกมาจากศีรษะ โปรดยกมือสองข้าง พวกคุณส่วนใหญ่รู้สึกได้ถึงลมเย็น ตอนนี้ แม่จะบอกคุณถึงวิธีป้องกันตนเอง พวกคุณทุกคนควรรู้วิธีป้องกันตนเอง บางคนที่ยังไม่รู้สึกถึงลมเย็นเพราะพวกเขามีปัญหา ที่จักรวิชุดดี หรือไม่ก็เพราะพวกเขายังไม่ให้อภัยผู้อื่น ลองวิธีนี้ ลองเปิดมือขวาหันมาทางแม่ และวางมือซ้ายแบบนี้ เพื่อสร้างสมดุล หันขึ้นไปทางท้องฟ้า นี่คือวิธีใช้ประโยชน์จากธาตุอีเธอร์ หากคุณรู้สึกลมเย็นหรืออะไรบางอย่างด้านล่าง เลื่อนมือมาด้านหลังอย่างนี้ หากคุณรู้สึกถึงลมเย็นจากด้านล่าง พวกคนที่ทําอะไรรีบเร่ง และค่อนไปทางช่องขวามากๆ นี่คือปัญหาที่พวกเขามีอยู่ ไม่เป็นไร แล้วมันก็จะค่อยดีขึ้นเอง คิดมากเกินไป อยู่กับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง พวกเขามุ่งแต่อนาคต จงเผชิญหน้ากับปัญหา และแก้ปัญหาเหล่านั้น ไม่ใช่ใช้ความคิดแก้ปัญหา แต่ให้เผชิญหน้ากับปัญหา ให้มองเห็นปัญหาอย่างที่เป็นจริงๆ ให้เห็นว่าคุณคือจิตวิญญาน คุณไม่ใช่ปัญหานั้นๆ คุณอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ หลังจากการตระหนักรู้ คําว่า "ปัญหา" จะหายไปจากพจนานุกรมของคุณ ตอนนี้ ให้วางมือซ้ายอย่างนี้ และให้มือขวายื่นลงไปทางพระแม่ธรณี ดีขึ้น ดีขึ้นมาก อย่าใช้ความคิด คุณทําได้แล้ว ตอนนี้ แม่จะบอกถึงวิธีป้องกันตนเอง มันง่ายมากๆ คุณควรจะต้องปกป้องออร่าของคุณ คุณจะยังคงสวมแว่นอยู่ก็ได้หากคุณต้องการ นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทํา ไม่ว่าคุณจะรู้สึกถึงลมเย็นหรือไม่ก็ตาม ให้คุณปกป้องออร่าของคุณอย่างนี้ วางมือซ้ายแบบนี้ และมือขวาคลุมรอบๆ ออร่า ให้คุณใช้มืออ้อมเหนือศีรษะและลงมาอย่างนี้ มือซ้ายหันมาทางแม่ ให้ทําทั้งหมด 7 ครั้ง สําหรับ 7 ออร่า หนึ่ง อย่าคิด อย่าคิด สาม สี่ ห้า หก และเจ็ด มันเป็นสิ่งสําคัญ ตอนนี้ วิธียกพลังกุณฑลินี นี่ก็ง่ายดายอีกเช่นกัน ให้คุณวางมือซ้ายอยู่ด้านหน้า ของกุณฑลินีของคุณ คุณสามารถทําได้ด้วยตนเอง และมันควรต้องเคลื่อนจากด้านบน ไปข้างหน้า ลงมา มือขวา เหมือนตามเข็มนาฬิกา ส่วนมือซ้าย ควรให้นิ่งและตรง หลังจากนั้นให้เลื่อนลง มือข้างนี้ให้เคลื่อนตรงๆ ให้นําสติไปอยู่ที่มือข้างซ้าย ์ ลองเลื่อนมือให้ถูกวิธี คุณต้องยกพลังไปไว้ที่เหนือศีรษะของคุณ นําไปไว้ที่เหนือศีรษะของคุณ น้อมศีรษะคุณมาด้านหลัง และผูกเงื่อนที่เหนือศีรษะ ให้ผูกเงื่อน ขนาดใหญ่ ผูกให้เหมือนผูกปม ให้ทําอีกครั้ง ทําให้ถูกวิธี กรุณาลองทําอีกครั้ง ครั้งที่สอง ลองทําดู เงยศีรษะไปด้านหลัง หมุนมือ และผูกเงื่อน ครั้งที่สามทําเหมือนเดิม แต่ให้ผูกเงื่อน 3 ครั้ง อีกครั้ง คราวนี้เร็วขึ้น ครั้งที่หนึ่ง อีกครั้ง ผูกเงื่อน สอง ผูกเงื่อนอีกครั้ง และครั้งที่สาม ลองสังเกตุที่มือ คุณจะรู้สึกว่าเบาขึ้น และรู้สึกถึงลมเย็นบนศีรษะด้วย คุณจะรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ ขณะนี้คุณจะไม่คิด แต่ถ้าคุณอยากจะคิด คุณก็ทําได้ แต่อย่าคิดถึงมัน คุณไม่สามารถจะคิดถึงลมเย็นนี้ คุณเพียงแต่จะรู้สึกถึงมันได้ พวกคุณทุกคนได้รับประสบการณ์แล้ว ดีมาก คุณจะได้เห็นเอง ตาของคุณจะเริ่มมีประกาย จะมีแสงอยู่ในดวงตาของคุณ อย่าใช้ความคิด มิฉนั้นเวลาที่แม่มาอีกครั้งหน้า คุณก็จะบอกว่า "คุณแม่ ผมได้สูญเสียไวเบรชั่นไปแล้ว" หากคุณคิดถึงมัน คุณจะไม่สามารถเข้าถึงมันได้ หากคุณต้องการที่จะจับมือทักทายแม่ แม่จะยังคงนั่งอยู่ที่นี่เพื่อคุณอีกสักระยะหนึ่ง คุณสามารถขึ้นมาจับมือทักทายได้ แต่สหจะโยคีไม่จําเป็นต้องทําเช่นนั้น มิฉนั้นก็จะไม่จบสิ้น ลองมาที่นี่ และสังเกตดู คุณรู้สึกถึงลมเย็นหรือไม่ ตอนนี้แม่รู้สึกลมเย็นของคุณแล้ว ฟิลิปส์ ช่วยเขาหน่อย ลองดู สุภาพบุรูษคนนี้ยังไม่รู้สึกถึงลมเย็น เขามีลักษณะค่อนไปทางช่องพลังด้านขวา ให้โอกาสเขา เอาละ กรุณารอสักครู่ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง รู้สึกถึงลมเย็นหรือไม่ รู้สึกสบายหรือไม่ เป็นอย่างไรบ้าง ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ ได้ แม่จะไปที่นั่น เขาจะกลับมาอีกเมื่อไร.. โอ เข้าใจแล้ว หลังจากนั้นก็ลอนดอน เขาจะไม่อยู่ที่นั่น เขาได้รับการตระหนักรู้แล้ว แม่รู้ ใช่ แม่รู้ ตกลงเขาสามารถจะมาที่ลอนดอนได้ใช่หรือไม่ แม่จะอยู่ที่ลอนดอน ตกลง ตกลง ขอบคุณ ขอบคุณมาก ขอบคุณ คุณได้รับการตระหนักรู้แล้ว ดี..... ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ แม่มีความสุขเหลือเกิน ตอนนี้คุณเป็นปกติแล้ว คุณต้องกลายเป็นสหจะโยคีอย่างสมบูรณ์ คุณจะได้มีความมั่นใจอย่างเต็มที่ คุณจะต้องมีความมั่นใจอย่างสมบูรณ์แบบ แม่มีความสุขที่มันเป็นเช่นนั้น ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ตกลง ตกลงมันเกิดขึ้นกับคุณแล้ว ดี เธอเกิดมาเป็นวิญญานที่ตระหนักรู้ เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ลองมองไปที่ตาของพวกคุณ พวกคุณมองเห็นดวงตาของกันและกันหรือไม่? ใครพูดนะ? ไม่ ไม่ เธอทําไม่ได้ มันไม่มีศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ นี้คือเด็กที่เกิดมาเป็นผู้ตระหนักรู้ เขาพูดผิด เขาพูดผิด ไม่ได้เป็นเช่นนั้น คุณต้องมีความรู้ที่สมบูรณ์แบบ ตกลงไหม?

คุณลองถามสตรีผู้นั้นที่เป็นโรคหอบหืดดู เขาจะเป็นผู้รักษาเธอ แต่บอกเขา ให้ตามผู้หญิงที่เป็นโรคหอบหืด (ภาษาฮินดี) เป็นอย่างไรบ้าง แม่ดีใจที่คุณรู้สึกได้ (ภาษาฮินดี) .... คุณต้องพัฒนาตนเอง เป็นสิ่งสําคัญ หลังจากนั้นคุณต้องให้ประสบการณ์นี้กับผู้อื่น แม่จะบอกให้ทราบ แต่เมื่อเรา..... ใช่ เรื่องมีอยู่ว่า คุณไม่สามารถพูดถึงทุกคนได้ในปาฐกถาคราวเดียว แต่แม่ก็ได้พูดถึงทุกท่าน พระเยซู เพราะที่นี้ผู้คนบูชาพระเยซู แต่พวกเขาทุกคนมีความเป็นจิตวิญญาน ไม่แตกต่างกัน. ใช่ ใช่ เป็นเช่นนั้น ตอนนี้คุณก็ได้เรียนรู้แล้ว คุณจะได้ฟังคําบรรยายอื่นของแม่ ที่แม่ได้พูดถึงเรื่องของทุกๆ ศาสดา ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ เขาเป็นพี่ชายของ.... คุณมีพี่สะใภ้ที่ดีมาก นั่นพี่ชายคุณหรือ เขาจะไม่เป็นไรหรอก เห็นไหม? เพราะมีคุณอยู่ที่นี่กัน ตอนที่แม่มาที่นี่ แม่มีหนังสือเดินทางการทูต แต่พวกเขาตรวจตราแม่ตามนัยในหนังสือเดินทาง หลังจากนั้น พวกเขาก็เห็นตั๋วของแม่ ไม่มีคนอื่น พวกเขาก็เป็นเช่นนั้นเอง จะให้ทําอย่างไร คุณไม่รู้หรอก คุณต้องมีคนอินเดียให้มากกว่านี้ถึงจะ... เขาจะไม่เป็นไร ไม่ต้องสงสัยเลย และคุณจะพบพวกเขาในมุมไบ สวัสดี เป็นอย่างไรบ้าง มั่นใจ ไม่เป็นไร นี้คือที่แม่รู้สึกได้ ว่าพวกคุณขาดความมั่นใจ สิ่งที่คุณคิดจึงสั่นคลอน ด้วยความลังเลสงสัยไร้สาระที่บรรดาผู้คนนํามา เพาะเชื้อไว้ให้คุณ คุณคือจิตวิญญาน และคุณจะต้องกลายเป็นจิตวิญญาน แม่กําลังจะนําทางให้คุณกลายเป็น คนที่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม คุณต้องมาดูคนเหล่านี้ เหล่านี้คือ.. แม่จะมาอีกครั้งในวันมะรืนนี้ โทรบอกเพื่อนของคุณแล้วหรือ? แม่จะต้องทําให้พวกคุณมีความมั่นใจมากๆ มาให้ได้นะ เพราะว่า.. กัมพูชาหรือ? เป็นอย่างไรบ้าง? ขอให้เพียงมีความสุขกับตัวคุณเอง แต่คุณจะต้องมีความมั่นใจ และมันจะเป็นไปเอง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า คุณจะต้องติดตาม และคุณควรจะดู จงมีความมั่นใจอย่างสมบูรณ์แบบ ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ เป็นอย่างไรบ้าง? ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ เข้ามาเลย คุณกล้าหาญขึ้นมาก ดีแล้วนะ? บอกเธอว่า แม่บอกว่าคุณควรมา และมาให้เร็วๆ ขอบคุณมาก คุณสบายดีหรือเปล่า นั่นจะไม่ช่วยคุณ ไม่เป็นไร เพียงแต่คุณต้องรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เกี่ยวกับมันด้วย นี่ดีแล้ว เห็นหรือยัง คุณไม่ควรทําโดยปราศจากวิจารณญานแยกแยะ แม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของพวกเขา พวกเขาอยู่ที่นี่กันทั้งหมดแล้ว คุณจะอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่? มะรืนนี้ แม่จะมาอีกครั้ง พวกเขาจะให้ที่อยู่กับคุณ ใช่ มะรืนนี้ คุณต้องพาเพื่อนๆ มาด้วย คุณมาจากประเทศไหน? เปรู?

ไม่เป็นไร พาพวกเขามาด้วย ตกลงไหม แม่ต้องการพบพวกเขา คุณสบายดีหรือ? คุณรู้สึกอย่างไร? คุณมาจากประเทศไหน เปอร์โตริโก โอ เป็นประเทศที่ดี แม่จะต้องไปเยือนประเทศเหล่านี้สักครั้ง แม่จะต้องไป แม่ยังไม่เคยไปเลย แต่แม่จะไป ไว้ค่อยดูกัน มาหรือยัง โอ ดีมาก สบายดีไหม? มาด้วยกันสิ ชวนเพื่อนๆมาด้วย บอกพวกเขาให้มา ต้องมาให้ได้ เข้าใจไหม ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ ตอนนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง อ้าวคุณยังไม่เคยเจอกันหรือ? คุณไม่ใช่ชาวโบลิเวียนหรือ? ... เป็นอย่างไรบ้าง? ... แต่คุณจะต้องให้อภัย คุณต้องพูดอย่างนี้ คุณต้องให้อภัย คุณต้องให้อภัยทุกๆคน คุณต้องให้อภัย เพียงแค่พูดอย่างนี้ "ข้าพเจ้าให้อภัย" เพียงแค่พูดว่า "คุณแม่ ข้าพเจ้าให้อภัย" เพียงแค่พูดอย่างนี้ จากหัวใจของคุณ ตอนนี้ เห็นไม๊? ตอนนี้ ให้สถาปนาตัวคุณเอง นี่สําคัญมาก ไม่เช่นนั้น คุณก็จะไม่มีความมั่นใจ คุณต้องสถาปนาตัวคุณ สิ่งที่แม่กําลังบอกนี้ คุณต้องระวัง ... ของคุณด้วย แล้วคุณก็ต้องมาเจอพวกนี้ด้วย ดีมาก เยี่ยม แม่เคยไปแถบนั้น แล้วแม่ก็เคยไปให้การตระหนักรู้กับผู้คนในรัสเซีย แม่จะไป พวกนั้นเป็นพวกแรกที่จะได้รับการตระหนักรู้ พวกเขาดีมาก เป็นคนที่ดีมาก ชาวรัสเซียเป็นคนที่ดีมากๆ มีจิตใจที่ดีเยี่ยม ในสิบสี่สัปดาห์ เราจะสอนพวกเขาจากอินเดีย แต่พวกเขาก็เป็นมิตรอย่างยิ่ง เป็นคนดี เรามีความเข้าใจกันกับพวกเขา ได้ง่ายมาก เราทําได้ แม่จะทดลองในระดับรัฐบาล เราสามารถทําได้ ขอพระเจ้าประทานพรแก่คุณ มาเลย สถาปนาตัวคุณเอง เพียงแค่พูดว่า "คุณแม่โปรดเข้ามาอยู่ในความคิดของข้าพเจ้า เท่านั้นเอง"

Geneva (Switzerland)

Loading map...