How to get to the Spirit that lies within

How to get to the Spirit that lies within 1979-11-26

Location
Talk duration
60'
Category
Public Program
Spoken Language
English

Current language: Thai, list all talks in: Thai

The post is also available in: English, German, Hindi, Italian.

26 พฤศจิกายน 1979

Public Program

Caxton Hall, London (England)

... แล้วมันอยู่ในตัวพวกเราได้อย่างไร และพวกเราหลงอยู่ในม่านแห่งมายาได้อย่างไร วันนี้แม่จะบอกพวกคุณว่าเราจะเข้าถึงจิตวิญญาณได้อย่างไร มีอยู่สองวิธี ที่ผู้คนใช้ในการแสวงหาจิตวิญญาณ วิธีที่หนึ่งเรียกว่า อณูโวปัย และอีกวิธีหนึ่งเรียกว่า ศักโตปัย ‘อณู ’ หมายถึงโมเลกุล เมื่อเราหลงอยู่ในมายา อย่างที่แม่ได้บอกคุณคราวที่แล้ว แท้จริงแล้วจิตวิญญาณนั้นเป็นอมตะ มันมีพลังมาก มันไม่เคยสูญเสียพลังของมัน ไม่ว่าเราจะแก่หรือเด็ก ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพใด จิตวิญญาณก็มีพลังของตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา แต่การสะท้อนภาพของจิตวิญญาณ ในตัวของพวกเราแสงสว่างของจิตวิญญาณในตัวของพวกเรา ขึ้นอยู่กับคุณภาพของตัวสะท้อนของเราว่าเป็นอย่างไร และเนื่องจากคุณภาพของตัวสะท้อนก็อาจจะไม่ดีนัก ในบางครั้งความมืดมนอาจจะเกิดขึ้นภายในตัวเรา บางครั้งเราก็ไม่รู้ตัว แม้ว่ามันได้ขยายตัวออกไป มันมีบางสิ่งที่อยู่เหนือกว่า รูปแบบแรกของการแสวงหาคือ อณูโวปัย อย่างที่คุณเรียกกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับการแตกตัว ของโมเลกุลจากโมเลกุลเพราะภายใต้สถานการณ์ต่างๆเหล่านี้ เมื่อคุณถูกห้อมล้อมไว้ ในความมืด คุณจะเห็นจิตวิญญาณเป็นดั่งโมเลกุล หรือคุณอาจจะบอกว่ามันเป็นประกายหรือแสงริบหรี่ บางครั้งคุณก็สัมผัสได้เพียงแสงริบหรี่จากตัวมัน อย่างที่คุณทราบกันดี ความคิดเกิดขึ้นภายในตัวเรา และจางหายไป เราเห็นความคิดที่เกิดขึ้นและจางหายไป และมี ความคิดมากมายอยู่รอบตัวเรา สติของเราจับอยู่ที่ความคิดเหล่านั้น ซึ่งเคลื่อนไหวตลอดเวลา มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ในการที่จะหาช่องว่างระหว่าง 2 ความคิดได้ นั่นคือสาเหตุที่ทําให้เราเห็นได้เพียงแสงริบหรี่ คุณอาจจะเรียกมันว่าอะตอมเล็ก ๆ ของจิตวิญญาณ บางครั้งมันก็เป็นประกาย แล้วการแสวงหาก็เริ่มขึ้นในหมู่มนุษย์ จากความมืดมนนั้น จากทาโมคุณา พวกเขาเริ่มค้นหาและ กริยา (การกระทํา) ก็ได้เริ่มต้นขึ้นภายในตัวเรา ซึ่งเราอาจจะเห็นได้จากฝั่งซ้ายอย่างที่คุณเห็น ในอิฑานาดี ซึ่งเรามีชีวิตอยู่ใน ทาโมคุณา ที่ซึ่งเป็นความปรารถนา จากนั้นมันจึงจะเคลื่อนไปสู่ฝั่งขวาบนปิงคลานาฑี ที่ซึ่งเราลงมือกระทํา ในการลงมือกระทํานั้นเราพยายามแสวงหาจิตวิญญาณ แน่นอน ในตอนแรก เราคิดว่าเราต้องมีความเจริญทางวัตถุเสียก่อนจึงจะเริ่มการแสวงหาทางจิตวิญญาณ นั่นมันช่างดูริบหรี่ แล้วเราก็มุ่งใฝ่หาแต่ความเจริญทางวัตถุ ทีนี้ความเจริญทางวัตถุมันช่างแตกต่างจากความเจริญก้าวหน้าทางวิญญาณมากมายเหลือเกิน หรือเราอาจจะบอกว่า วัตถุที่สร้างขึ้น คือสิ่งที่เรามองเห็นเช่นเครื่องบินกําลังลงจอด หรือเครื่องบินกําลังบินขึ้น หรือรถไฟสองขบวนกําลังวิ่งชนกัน หรืออะไรก็ตามที่กําลังเกิดขึ้นภายนอก แต่จิตวิญญาณนั้นกําลังเกิดขึ้นภายใน สติของเรามักถูกดึงดูดไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกเสมอและเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะดึงสติเข้าสู่ภายใน นั่นคือสาเหตุที่ต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นภายในตัวเราเพื่อดึงดูด สติเข้าสู่ภายใน เราไม่สามารถบังคับสติของเราให้เข้าสู่ภายในได้ ดังนั้นผู้คนจึงต้องใช้ความพยายาม โดยทั่วไปแล้ว อณูโวปัย คือสิ่งที่คุณเรียกว่า อัษฎางค์โยคะ และ การฝึกโยคะแบบอื่น ๆ โดยที่พวกเขาพยายาม แยกตัวเองออกจากนิทานหลอกเด็ก จากความมืดมน ซึ่งพวกเขาต้องการคนที่ฉลาดหลักแหลม ซื่อสัตย์ จริงใจ คนที่อายุน้อยมากๆและเป็นโสด คนที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา และต้องอาศัยอยู่ในป่ากับคุรุของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงดึงสติออกไป ซึ่งเรียกว่า นิโรธ (ข่มใจ) พวกเขาระงับสติของพวกเขาไม่ให้กระจัดกระจาย พวกเขากําหนดสติด้วยความช่วยเหลือจากจิตวิญญาณตระหนักรู้ หากคุณมาที่อินเดียคุณจะได้พบกับปราชญ์ที่แท้จริงเช่นเดียวกับผู้ที่อาศัยอยู่บนยอดเขา และเทือกเขาซึ่งผู้คนไม่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย พวกเขาไม่ได้ขายศาสนาของพวกเขา หรือพวกเขาไม่ขายความตระหนักรู้ของพวกเขาให้กับผู้คน พวกเขาซ่อนตัวจากฝูงชนที่บ้าคลั่ง พวกเขายังคงมีอยู่จริงที่นั่น หนึ่งในนั้นบอกใครบางคนซึ่งเป็นสหจะโยคี ว่าเขาฝึก อณูโวปัย มา 21,000 ปีแล้ว เมื่อตอนที่เขายังเป็นกบ!

เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่เขาดําเนินชีวิตมาเป็นเวลา 21,000 ปี ทุกๆปี ทุกๆภพชาติ ที่เขาเกิด แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะปลุกพลังกุณฑลินีของผู้อื่นให้ตื่นขึ้นอย่างง่ายดายได้เลย จนกระทั่งตอนนี้ เขาก็ยังไม่มีอํานาจที่จะปลุกพลังกุณฑลินี ในแบบที่พวกคุณ สหจะโยคี สามารถทําได้ มันน่าประหลาดใจที่สุด เขาได้มอบการตระหนักรู้ให้คนไปเพียงคนเดียวเท่านั้นเพียงคนเดียว ในเวลา 25 ปีที่เขาพยายามกับคนผู้นั้น ในทํานองเดียวกัน อณูโวปัย เหล่านี้คือคนที่ไม่มีการยึดติด วีตระกัส ไม่ใช่ว่าคุณจะต้องวิ่งหนีไปจากที่ใดใด แต่การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเท่านั้นที่คุณสามารถบรรลุได้ โดยผ่านการฝึกสหจะโยคะ หรือ มหาโยคะ นี่คือ ศักโตปัย แต่คนเหล่านี้ยังกลัว ที่จะมาในเมืองเพราะพวกเขาไม่สามารถทําให้คนอื่นเข้าใจ พวกเขาได้ พวกเขาไม่เชื่อใจมนุษย์ และพวกเขาต้องการอยู่ให้ห่างจากมนุษย์ พวกเขาไม่ได้แต่งงาน พวกเขาครองชีวิตโสด บางครั้งพวกเขามีชีวิตอยู่ถึงสองร้อยปี บางครั้งก็เป็นพันปี แต่มันเป็นขบวนการที่เป็นปัจเจกบุคคล ที่เกิดขึ้นกับคนหนึ่งหรือสองคน การเกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาชําระล้างตนเอง นี่คือ อณูโวปัย ดังนั้นการแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ จิตวิญญาณ จึงมีมานานแล้วจนมาถึงยุคนี้ สิ่งที่เรากําลังทํากันอยู่ที่นี่จึงไม่ใช่สิ่งใหม่ และคุณเองก็ได้แสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาแล้วในภพชาติก่อนๆ และอีกหลายๆภพชาติที่ผ่านมา แต่คุณต้องรู้ว่าการแสวงหานั้น คุณต้องเข้าสู่ภายใน ไม่ใช่เพียงภายนอก แล้วคุณจะเข้าสู่ภายในได้อย่างไรหล่ะ? นี่คือปัญหา มีบางคนบอกว่า ถ้าเราชี้นําตัวเองไปเรื่อยๆว่า "ฉันกําลังเข้าสู่ภายใน" คุณก็จะเข้าสู่ภายใน นั่นมันเป็นจินตนาการทั้งหมด เพราะเมื่อสติของคุณอยู่ยังภายนอก ผู้รู้และความรู้ สองสิ่งนี้จะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เช่นตอนนี้ถ้าแม่เห็นสิ่งนี้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าแม่ไม่ใช่จิตวิญญาณตระหนักรู้ แม่มองสิ่งนี้ แม่จะคิดว่า“ พวกเขาซื้อมันมาในราคาเท่าไหร่? มันทําด้วยอะไร? พวกเขาได้มันมาจากที่ไหน คุณอาจจะเรียกว่า เรื่องฉาบฉวยต่างๆนานา หรืออย่างมาก บางคนอาจจะพูดว่า "มันถูกจัดวางไว้อย่างสวยงามและดูสมดุลดีมาก" อะไรทํานองนั้น อย่างมาก แต่มันก็ยังมีเพียงเรื่องภายนอกอยู่ดี เพราะผู้ที่มีความรู้ที่ว่านั้น เขาอยู่ภายนอกตัวความรู้ ดังนั้นจึงมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกและสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน เมื่อคุณเห็นรถไฟชนกันคุณจะพูดว่า“ โอ้ดูนี่สิ! พวกเขาทําอะไรลงไป คนขับเป็นคนผิด” และ“ ทําให้ผู้คนเหล่านี้ต้องมาเดือดร้อนอย่างมาก” และอะไรทั้งหลายแหล่ คุณจะเริ่มรวบรวมเงิน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่พวกเรามักจะทํากัน เห็นไหม แต่ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มันอยู่ภายนอกตัวผู้รู้ ซึ่งก็คือตัวของคุณเอง แต่เมื่อจิตวิญญาณ เข้ามาทําหน้าที่นี้แทน ความรู้และตัวผู้รู้ก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นเครื่องนี้ที่วางอยู่ตรงนี้ ความคิดของคนทั่วไปอย่างที่แม่บอกคุณไปแล้ว“ เครื่องนี้มันราคาแพงมาก” หรืออะไรก็ตามที่ตาคุณเห็น แต่สําหรับจิตวิญญาณตระหนักรู้ มันจะกลายเป็น“ มันมีไวเบรชั่นไหม? มันกระจายไวเบรชั่นหรือไม่? มันมีไวเบรชั่นแบบไหนกัน? มันดีหรือไม่ดี” เพราะคุณเริ่มเข้าใจมันตามคุณค่าทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่ตามคุณค่าทางวัตถุ แม่หวังว่าคุณจะเข้าใจประเด็นนี้ คุณค่าทางจิตวิญญาณเป็นคุณค่าที่สมบูรณ์ และสิ่งที่ใช้วัดก็คือความปิติสุขของจิตวิญญาณ ไวเบรชั่นจะให้ความสุขทางจิตวิญญาณแก่คุณ ไวเบรชั่นที่ดี แม่หมายถึง ไวเบรชั่นที่ดีคืออะไร? ไม่ใช่อะไรนอกจากความสามารถของสิ่งต่างๆในการกระจายไวเบรชั่นผ่านตัวมันได้ ซึ่งคือพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งทําให้คุณมีความปิติสุข มันเป็นคุณค่าที่สมบูรณ์ ถ้าคุณนําเด็กๆมาสิบคน เด็กที่เป็นวิญญาณตระหนักรู้ คุณปิดตาพวกเขาและขอให้พวกเขายื่นมือ ไปหาคนคนหนึ่ง พวกเขาทั้งหมดจะชูนิ้วเดียวกัน ซึ่งเป็นนิ้วที่พวกเขากําลังรู้สึกร้อน จักระใดที่พวกเขากําลังอุดตัน พวกเขาจะไม่มีความสับสนไม่มีความคิดเห็นที่แตกต่างเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะไม่มีการทะเลาะกันเพราะนั่นคือสิ่งที่มันเป็น เพราะผู้รู้และความรู้เป็นสิ่งเดียวกัน นั่นคือเหตุผลที่เมื่อสติของเราอยู่ภายนอกและเรากําลังแสวงหาบางสิ่งบางอย่างหรือความรู้อะไรบางอย่าง จากนั้นเราจะเริ่มมองดูมันตามความคิดของเรา และผู้ที่คิดก็คือนายอัตตาหรือบางทีก็นายเงื่อนไข เราไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อใช้ความคิดเกี่ยวกับมัน แล้วอะไรที่คุณได้ให้แก่พวกมัน เช่นคุณแต่งงานกับคนสองคนในยุคปัจจุบัน ดังนั้นพวกมันจะนั่งลงและเริ่มทํางาน คุณจะใช้ชีวิตแต่งงานด้วยสมองได้อย่างไร? มันเป็นคําถามของหัวใจของคุณ คุณแค่ต้องเพลิดเพลินกับมัน คุณให้อาหารพวกมัน พวกมันจะนั่งลง และเริ่มทํางาน เริ่มวิเคราะห์ พวกมันไม่สามารถสังเคราะห์ได้ อาหารจะเย็นชืดมันจะเสียรสชาติและทั้งหมดจะสูญเปล่า พวกเขาทําแบบเดียวกันกับการใช้ชีวิต มันไม่มีอะไรเลยนอกจากพวกเขาจะ สร้างปัญหาด้วยการคิด การวิเคราะห์เริ่มต้นจากภายนอก ส่วนการสังเคราะห์เริ่มขึ้นภายใน ด้วยสภาวะนิโรธนี้ จะช่วยดึงสติของคุณเข้าสู่ภายในอย่างที่แม่ได้บอกคุณไป ว่ามันจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ มันเกิดขึ้นภายใน ตอนนี้คุณจะทําให้มันเกิดขึ้นภายในได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น แม่กําลังพูดอยู่กับคุณ คุณกําลังมุ่งสติมาที่แม่ สมมุติว่ามีบางอย่างตกลงพื้น สติของคุณจะเคลื่อนไปสู่สิ่งที่กําลังเกิดขึ้นทันที ดังนั้นจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นภายใน ตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือ กุณฑลินีโยคะ และ กุณฑลินีโยคะ นี้คือ ศักโตปัย หรือที่รู้จักกันในชื่อ ศักติพาธ คือการมอบให้ ของศักติ มีน้อยคนนักที่มีสิทธิ์ได้รับสิ่งนี้ แม่หมายถึงทุกวันนี้ "ศักติ" ได้ถูกนํามาขาย พวกเขามีอาศรมของพวกเขาเอง และสิ่งนี้สิ่งนั้น พวกเขากําลังพูดถึง ศักดิ์ติ โดยที่ผู้คนเริ่มเต้น กระโดดและกรีดร้อง เหมือนคนที่ถูกแฝง นั่นไม่ใช่ ศักติ เลย บุคคลที่มีคุณภาพสูงเท่านั้นที่สามารถปลุกพลังกุณฑลินีได้ เพราะเขาจะต้องได้รับอนุญาต จากพระเจ้า มันเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากในการที่จะมอบการตระหนักรู้ให้กับผู้คน เฉพาะคนที่ ได้รับอนุญาตจากพระเจ้าเท่านั้น ที่จะสามารถ เคลื่อนพลังกุณฑลินี ไปข้างหน้าได้ ดังนั้น อณูโวปัย จึงเป็นการปฏิบัติที่เนิ่นช้ามาก มันเป็นวิธีที่เหมาะสําหรับคนไม่กี่คนที่สามารถออกจากมายา ภาพ ลวงตานี้ได้ และสามารถบอกกับคนอื่นว่า "นี่คือภาพลวงตาทั้งหมด มันเป็นภาพลวง คุณกําลังวิ่ง ตามภาพลวง อย่าวิ่งตามภาพลวงนี้” แต่ถึงกระนั้นผู้คนก็ไม่เชื่อพวกเขาอยู่ดี พวกเขาถูกจับตรึง พวกเขาถูกวางยาพิษ พวกเขาถูกทุบตี พวกเขาถูกกระทําทุกสิ่งทุกอย่าง แม่หมายความว่าพวกเขาไม่ได้ทําร้ายอะไรใครเลย ในการที่พวกเขาต้องมาได้รับการปฏิบัติ อันเลวร้ายจากมนุษย์เช่นนั้น ดังนั้นจึงควรทําความเข้าใจว่าสติของคุณจะต้องถูกดึงกลับเข้าสู่ภายใน นิโรธต้องทํางาน มันไม่ใช่การปฏิเสธสิ่งต่าง ๆ “ ห้ามมองผู้หญิง” “ ห้ามมองทองคํา” “ ห้ามมองสิ่งต่าง ๆ เดี๋ยวสติของคุณจะถูกทําลาย” ไม่ใช่ด้วยวิธีการเหล่านั้น หรือพาคุณไปที่ป่าทึบ บอกให้คุณใช้ชีวิตโสดสร้างบรรยากาศที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ๆ และบังคับไม่ให้คุณมองดูสิ่งใดๆที่เป็นสิ่งชั่วร้าย แต่เมื่อคุณได้เห็น มันอีกครั้งคุณก็กลับไปเหมือนเดิมอีก ไม่มีการพัฒนาภูมิคุ้มกัน ดังนั้น เมื่อสติได้ถูกดึงกลับเข้าสู่ภายใน ด้วยการ ตื่นขึ้นของพลังกุณฑลินี สิ่งแรกที่คุณจะสังเกตเห็นก็คือ จะมีการขยายของรูม่านตา ทีนี้โดยปกติการขยายของรูม่านตา จะทําให้ตาบอด มีแพทย์หญิงท่านหนึ่งที่มาพบแม่เพื่อเธอจะได้รับการตระหนักรู้สักครั้ง แม่พยายามปลุกพลังกุณฑลินีของเธอ แต่มันไม่สามารถเคลื่อนผ่านจักรอักนียะขึ้นไปได้ ในขณะที่เธอ กําลังขับรถเธอก็รู้สึกว่าดวงตาของเธอกําลังขยาย และเธอไม่สามารถมองเห็นได้ เธอจึงจอดรถของเธอ ที่ข้างทาง และเธอก็บอกว่า “ประมาณหนึ่งนาทีที่ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย ฉันค่อนข้างกังวล ฉันรู้สึกว่ามีการขยายตัวของรูม่านตาและฉันก็กังวลเกี่ยวกับมันว่า ฉันอาจจะกลายเป็นคนตาบอด "แล้วเธอก็กลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เมื่อเธอกลับมา การมองเห็นของเธอดีขึ้นมากและมีประกายในดวงตาของเธอ ดวงตาเป็นประกาย เธอโทรศัพท์มาหาแม่ เธอพูดว่า“มันเกิดขึ้นแล้วใช่ไหมคะ?” แม่ตอบว่า“ ใช่” เพื่อดึงสติของคุณจากภายนอกให้กลับเข้ามาสู่ภายใน พลังกุณฑลินี ได้ทําสิ่งนั้นกับคุณ ท่านได้ขยายรูม่านตาของคุณ ตอนนี้พวกหมออาจจะมายืนบนศรีษะของแม่ แล้วบอกว่ามันเกิดจากการทํางานของระบบพาราซิมพาเธติก หรือซิมพาเธติก พวกเขาไม่รู้ พวกเขายังไม่ได้ตัดสินใจ มันเป็นการทํางานของพลังกุณฑลินี พวกเขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับ พลังกุณฑลินี แม้ว่าคุณจะให้เขาดูการเต้นเป็นจังหวะของพลัง พวกเขาก็จะไม่เชื่อ พวกเขาต้องการที่จะอยู่แต่ภายนอก อยู่ในอวิชชา พวกเขาทุกคนเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ทุกคนต่างก็พูดว่า เวลานี้การต่อสู้ของโลกภายนอกได้จบสิ้นลงแล้ว เราต้องต่อสู้กับโลกภายใน เราต้องต่อสู้กับตัวของพวกเราเอง ไม่ว่าคุณจะไปที่ใดพวกเขาก็จะพูดว่า“เราต้องค้นหาความบริสุทธิ์ของพวกเรา” โอ้ มันเป็นการ บรรยายที่ยิ่งใหญ่ รู้ไหม มันมีการประชุม แล้วก็การประชุม ผู้คนกําลังพูดกันไปอย่างใหญ่โต พูด พูด พูด พูด พูด พูด แต่เมื่อกล่าวถึงความจริง ที่คุณสามารถมีมันได้ กลับเคลื่อนไหวได้ช้ามาก [แต่] ก็ยังดีกว่า อณูโวปัย โดย อณูโวปัย [ผู้] ที่อาศัยอยู่ในเมือง พวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงสิ่งใดได้เลย พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงได้เลย หากคุณ พยายามทําทุกอย่างแบบนั้น ถ้าคุณไม่มีจิตวิญญาณตระหนักรู้เป็นคุรุ และไม่มีบรรยากาศแบบนั้น คุณจะเกิดอัตตาหรือเงื่อนไข คุณจะมีปัญหานั้น ไม่ว่าฝั่งซ้าย หรือขวา สมมติว่าคุณบอกพวกเขาว่า“ ตอนนี้ห้ามดื่มเหล้า ห้ามสูบบุหรี่” คุณก็จะเกิดเงื่อนไขทันที และนายฟรอยด์ก็จะลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า“ ดูสิคุณมีเงื่อนไขแล้ว คุณควรมีอิสระภาพในทุกๆเรื่องสิ” เอาล่ะ .

จากนั้นคุณก็จะเดินหน้า [และ] ทําในสิ่งที่คุณพอใจต่อไป แล้วนายอัตตาของคุณจะกลายเป็นเหมือนบอลลูนขนาดใหญ่บนศรีษะของคุณเวลาที่คุณได้ทําอะไรก็ตามที่คุณพอใจ แล้วคุณก็จะมีหน้าผากที่ใหญ่โตปูดโปนออกมา คอยกัดกินทุกคนแบบนั้น แม่ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ไพเราะสําหรับคุณอัตตาเอาไว้ว่า มันพยายามจะบีบคอทุกคนอย่างไร และเราจะสวนกระแสผู้คนทั้งหลายเพื่อขึ้นสูงได้อย่างไร นายอัตตาคนนี้ทําให้เรารู้สึกว่าเราก็มีดีเหมือนกัน และนั่นคือสิ่งที่ทําให้เราตกเป็นทาสของอวิชชา มันเหมือนกับ บางครั้งแม่ก็รู้สึกมันเหมือนกับกําปั้นของนักมวย ใครก็ตามที่พยายามจะเข้าไปใกล้ มันจะชกคุณกลับ ใครที่พยายามจะพูดอะไรเกี่ยวกับมัน มันจะชกกลับ อย่างแรงที่ศรีษะของคุณ ดังนั้นถ้าคุณไม่ใส่ใจกับอัตตาของคุณ แล้วก็พูดว่า“ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ฉันจะไม่กินสิ่งนี้ ฉันจะไม่ทําอย่างนี้ ฉันจะไม่ทําอย่างนั้น”จบกัน คุณได้ไปอยู่ในฝั่งซ้ายแล้ว จากนั้นคุณก็จะเกิดเงื่อนไข และจากนั้นคุณอาจตก ไปในกับดักของ นายราชนีช์ หรือคนแบบเดียวกันนั้น คนที่ทําให้คุณมีเงื่อนไข และคุณ ไม่สามารถหลุดออกไปได้ คุณพยายามทําดีที่สุด แต่คุณก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากมันได้ เพราะพวกเขาทําให้คุณติดกับ ด้วยการสะกดจิต คุณจะอยู่ในจิตเหนือสํานัก (ซูเปอร์อีโก้) คุณถูกสะกดจิต คุณถูกครอบงํา ไม่ว่าคุณจะพยายามเท่าไหร่ก็ตาม คนเหล่านี้จะยากมากสําหรับการฝึกสหจโยคะ พวกเขาคิดว่า แม่ไม่รู้ว่าว่าพวกเขากําลังทําอะไรกันอยู่ แต่มันไม่ใช่การรู้ของแม่ แต่ประเด็นคือมันเป็นการรู้ของคุณ ผู้แพ้อยู่ในตัวคุณและผู้ชนะก็อยู่ในตัวคุณเช่นกัน มันคือคุณ [ที่] ต้องเป็นผู้รับ ไม่ใช่แม่ สหจะโยคะไม่ได้มีไว้สําหรับแม่เลยแม้แต่น้อย แม่ไม่ต้อง ทํามันเลยก็ได้ มันมีไว้สําหรับคุณที่จะต้องทํา เพื่อให้ได้ความรู้ซึ่งก็คือตัวคุณเอง สิ่งเดียวที่แม่ ทําได้คือสร้างเส้นทางแห่ง ศักติ แต่จริงๆแล้วแม่ก็ไม่ได้เป็นผู้กระทําเช่นกัน แม่พูดได้เลยว่า แม่ไม่ได้ทําอะไรเลย แม่แค่นั่งเงียบ ๆ แล้วมันก็ปลดปล่อยตัวเองออกมา แม่จะไปทําอะไรได้เล่า? นั่นมันเป็นธรรมชาติของแม่ มันแค่หลั่งไหลออกมา มันทํางานออกมาในลักษณะนั้น แต่เนื่องจากอัตตาของพวกเรา เราต้องการความ ท้าทายทุกอย่าง สมมติว่าแม่บอกคุณในวันพรุ่งนี้ว่า “ คุณจะบรรลุได้โดยการกระโดดเพียงหนึ่งร้อยครั้งเท่านั้น” คุณก็จะเริ่มทําทันที ถ้าแม่บอกคุณว่ามีหนทางอื่นที่มีประสิทธิภาพกว่า“ หากคุณกระโดดหนึ่งร้อยครั้ง ได้ภายในเวลาห้านาทีคุณจะบรรลุได้เร็วขึ้น” คุณก็จะทําตามเช่นนั้น หรือแม่จะบอกวิธีอื่นกับคุณ แบบที่พวกเขาเรียกมันว่า ประโลภัณ หรือการล่อลวง อย่างเช่น คุณใส่เงินห้ารูปีวันนี้ แม่ก็บอกว่า“ ไม่ ไม่คุณควร ใส่เงินสิบรูปีจะดีกว่า” แล้วคุณก็ใส่เงินลงไป ดูสิว่ามันฉาบฉวยแค่ไหน ในเรื่องฉาบฉวยนี้ เรากําลังจะหลงทางอย่างสิ้นเชิง หากคุณกําลังแสวงหาอย่างแท้จริง คุณค้นพบมัน มันอยู่ที่นั่นและคุณก็รับมันเอาไว้ มันเป็นของตัวคุณเอง เราคุยกันใหญ่โต แม่หมายถึงแม่ได้พบกับผู้คน ที่เป็นคนระดับสูงของทุกประเทศ แม่ควรจะพูดอย่างนั้น และพวกเขาก็กําลังชื่นชมซึ่งกันและกันเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น พวกเขาไม่ต้องการที่จะเจาะลึกลงไป และก็พูดว่า “ โอ้ พวกเราเข้าใจ ว่าจะต้องมีพระผู้มาโปรด จะต้องมีบางสิ่ง [ที่] เกิดขึ้นกับเรา” “ พวกเราทุกคนควรจะทําตนให้บริสุทธ์” ตอนนี้พวกเขากําลังค้นหาพวกคลั่งศาสนาที่ทําให้พวกเขาเดือดร้อน แล้วพวกเขาก็พูดว่า“ ไม่ พวกคลั่งศาสนาเหล่านี้อยู่ที่นั่น” และที่จริงพวกเราทุกคนก็คลั่งศาสนา เมื่อเรายังอยู่แต่ภายนอก แม่หมายความว่า ถ้าคุณมาถามแม่ พวกเขาดูเหมือนคนบ้าในสายตาของแม่ พวกหัวรุนแรง สติทั้งหมดของพวกเขาอยู่ภายนอก และการจัดการต้องเกิดขึ้นภายในตัวคุณ อย่างที่แม่บอกคุณเรื่องของพลังกุณฑลินี ที่อยู่ใน กระดูกรูปสามเหลี่ยมตรงนั้น มันงดงามมาก มันถูกสร้างขึ้น เพียงแค่มองเห็นความงดงาม ของพลังกุณฑลินี แม้แต่ในการแสวงหาเรา ก็ได้ สร้างความทุกข์ทรมาน ให้กับพลังกุณฑลินี ของเราทุกคน เราไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองและต่อพระแม่ของเรา พลังกุณฑลินี ผู้ที่กําลังรอเราอยู่ที่นั่น เพื่อมอบการตระหนักรู้ให้แก่เรา เพื่อมอบการเกิดใหม่ให้แก่เรา ท่านรออยู่ที่นั่น คุณสามารถมองเห็นได้ ด้วยตาเปล่าของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นสหจะโยคีท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นแพทย์ได้ไปพูดคุยกับ แพทย์อีกท่านหนึ่ง แม่ถามว่า“ พวกเขากําลังทําอะไรกันอยู่?” พวกเขาตอบว่า“ ใช่ เรารู้สึกว่าเรามีกระแสลมเย็น อยู่ในฝ่ามือ มันก็ดี” “แล้วยังไง?” “ และเราก็เห็นและเรารู้สึกว่ามีบางอย่าง ที่เต้นเป็นจังหวะอยู่ที่กระดูกสามเหลี่ยม” “แล้วยังไง? มันไม่ทําให้คุณประหลาดใจหรือ” “แต่ถึงกระนั้นก็ดี มันจะเป็นการตระหนักรู้ได้อย่างไร” แม่หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้ ที่คนคนหนึ่งจะดื่มน้ําแทนคนอื่นและย่อยมันและเพลิดเพลินกับมัน คุณอาจจะพาใครสักคนไปที่แหล่งน้ํา ทําให้พวกเขาดื่มน้ํา ผลักดันพวกเขาให้ลงไปดื่มน้ํา แต่ถ้าพวกเขา เอาแต่ปฏิเสธ คุณจะทําอะไรได้ จากนั้นพวกเขาก็จะออกมา และจัดการประชุมใหญ่:“เป็นการประชุมที่ใหญ่และ เป็นประชุมที่ใหญ่มากๆ” พวกเขาจะอยู่กันเต็มห้องประชุม และพวกเขากําลังคุยกันเรื่องอะไร คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งมีชีวิต แล้วคุณก็หยิบยกหนังสือขึ้นมา แล้วก็อ่าน แล้วก็อภิปรายกันใหญ่โต แล้วก็จัดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ แล้วก็จบ การแสวงหาที่โรงเรียนในวันอาทิตย์' นี้ ไม่ได้ช่วยอะไรเรา สิ่งแรกคือเราต้องเป็นผู้แสวงหาที่แท้จริง อย่างที่คุณทราบ ในสหจะโยคะ ผู้ที่มีความก้าวหน้าและผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติอย่างแท้จริง โดยไม่ได้มุ่งสติไปที่ เรื่องภายนอกเลย เขาจะสามารถรับรู้ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาจะเพลิดเพลินกับสิ่งนี้ และเขาจะมอบสิ่งนี้ให้แก่ผู้อื่นได้ แต่ไม่ว่าที่ใดในชีวิตหากชีวิต คุณเห็นไหม หากไม่มีความจริงใจ คุณจะบรรลุสิ่งใดได้ เหมือนคนบ้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ประสานงาน เห็นไหมลอง นึกภาพดูว่ามันเป็นงานแบบไหน ครึ่งๆกลางๆแค่ไหน เขาเป็นเจ้าหน้าที่ประสานงาน เขาวิ่งถือดอกไม้ไปสําหรับใครคนหนึ่ง และอีกดอกสําหรับใครอีกคนหนึ่ง เขาไม่รู้เลยว่าใครที่กําลังจะมา เขาอาจจะมอบดอกไม้นี้ให้ใครคนอื่นก็ได้ ช่างเป็นความบ้าบอเสียเหลือเกิน ในทํานองเดียวกันพวกเราก็เป็นเหมือนกับเจ้าหน้าที่ประสานงาน ที่ปราศจากความรู้สึกใด ๆ ในหัวใจของเรา แต่เมื่อสิ่งนี้ได้เกิดขึ้น คุณจะเริ่มรู้สึกถึงคนอื่นภายในตัวคุณ คุณเริ่มรู้สึก มันเป็นความจริงตามที่แม่เคยบอกคุณคราวที่แล้ว และเมื่อความเป็นจริงได้เกิดขึ้นมาแทนที่ สิ่งเดียวที่คุณต้องทําคือยอมให้มันเติบโตเพราะมันเกิดขึ้นเอง โดยที่คุณไม่ต้องใช้ความพยายามและมันจะทํางานเองตามธรรมชาติ เพียงแค่ อย่าขัดขวางความก้าวหน้าของมันด้วยอัตตาของคุณเองและวิธีการแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งต่างๆของคุณ คุณไม่สามารถเอามาทําเป็นอาชีพหรือธุรกิจได้ แต่เพื่อความสุขเพลิดเพลินเท่านั้น ตอนนี้แม่แปลกใจว่ามนุษย์ยังไม่ได้ขายลูกของพวกเขา แม่หมายความว่าพวกเขาขายได้ทุกอย่าง พวกเขาขายเส้นผมของพวกเขา ขายจมูก ขายตา ขายทุกอย่างที่ขายได้ ภายใต้อาทิตย์ดวงนี้ ขายเลือด แต่แหล่งกําเนิดของความสุขทั้งหมดนั้น อยู่ภายในตัวคุณ อยู่ในจังหวะการเต้นของหัวใจ ที่เรียกว่าเป็น ปราณศักติ เป็นพลังที่เต้นอยู่ของจิตวิญญาณภายในตัวคุณ เพื่อรอคอยการตระหนักรู้ สติทั้งหมดจะได้รับการตระหนักรู้ และความแตกต่างระหว่างความรู้ทั่วไป ที่ผู้รู้และความรู้เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน กับสติที่ตระหนักรู้ซึ่งทั้งสองกลายเป็น หนึ่งเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีใครอยากฝึกฝนและสัมผัสด้วยตนเองว่า มันมีพลังแค่ไหน นี่คือสิ่งที่ นี่คือสิ่งที่ทั่วโลกกําลังมองหาในวันนี้ นี่คือสิ่งที่เรากําลังพูดถึงและนี่คือวิธีการของแผนกส่งออก ของประเทศอินเดีย และอันธพาลทั้งหลายก็แห่กันมาที่นี่ นี่มันจึงเป็นวงจรขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้น ทุกที่ คุณต้องการที่จะเวียนว่ายอยู่ในวงจรเดียวกันนี้หรือไม่? แม่หมายความว่ามันไม่ใช่เพื่อเอาใจแม่ แต่มันเพื่อตัวของคุณเอง เพราะมันเป็นเพียง คุณค่าทางจิตวิญญาณของทุกๆสิ่ง ที่จะทําให้คุณมีความปิติสุข ไม่ใช่สิ่งอื่นใด ปล่อยให้การตื่นรู้ได้เกิดขึ้น ให้เวลากับมัน คุณมีปัญหา พลังกุณฑลินีตื่นขึ้น เอาล่ะ พลังสัมผัสกับจักรสหัสราระ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่มีหลายคนพูดว่า “ คุณแม่ เมื่อพลังสัมผัสแล้วทําไมพลังจึงต้องตกลงมาอีก” ทีนี้ มันไม่ใช่ความผิดของแม่ พลังของแม่ไม่ได้ตกลงมา พลังตกลงมาเพราะความผิดพลาดของคุณ ไม่ว่าอะไรที่คุณเคยทํากับตัวเอง พลังกุณฑลินี ต้องคอยช่วยเหลือ ท่านต้องคอยดูแลคุณ คุณโหดร้ายกับตัวเองและกับคนอื่นเหลือเกิน ไม่ว่าอะไรที่คุณเคยทํา คุณได้ทําสิ่งผิดพลาด มานาน ดังนั้น พลังกุณฑลินี จึงตกลงมา ปล่อยให้ท่านได้ดูแลสิ่งต่างๆเหล่านี้ทั้งหมด ท่านรู้ว่าคุณมีปัญหา แต่ถ้าคุณไม่จริงใจ ท่านก็รู้เช่นกันว่าคุณไม่จริงใจ ท่านก็จะหายไปในจักรมูลธาระ ในกระดูกรูปสามเหลี่ยมของคุณ และจะไม่มีวันตื่นขึ้นอีก ท่านจะแข็งทื่ออยู่ในนั้น เมื่อคุณเริ่ม คิดเกี่ยวกับพลังกุณฑลินี คุณได้ปิดท่านไว้อย่างมิดชิดที่นั่น และท่านก็เคลื่อนตัวต่ําลง ท่านเห็นว่า "คนคนนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาอาจจะต้องเกิดใหม่อีกสักสิบชาติ เพื่อกุณฑลินีของเขาจะได้กลับมาอยู่ที่เดิม"แต่มีบางคนที่พลังขึ้นมาและคงอยู่แบบนั้นเลย คุณต้องเคารพในสิ่งนี้ คุณต้องให้คุณค่ากับสิ่งนี้ หากคุณให้คุณค่ากับสิ่งนั้น ก็คือการให้คุณค่ากับตัวคุณเอง ไม่ใช่ใครอื่น เช่นเดียวกับการตรึงพระเยซูคริสต์บนกางเขนคุณไม่สามารถลดคุณค่าของท่านลงได้เลยไม่ว่ากรณีใดๆ คุณได้ลงโทษตัวเองเมื่อคุณกล่าวโทษตัวเองแบบนั้น แล้วช่วงเวลาดีๆก็กําลังจะมาถึง คริสต์มาสกําลังจะมาถึง ให้พระคริสต์ได้ประสูติในกายเรา ที่จักรอักนียะของเรา ซึ่งเป็นจุดที่เราต้องข้ามผ่าน ให้เราได้ระลึกถึงอวตารที่ยิ่งใหญ่และศาสดาทั้งหลาย ที่ได้มากําเนิดบนโลกนี้ ผู้ที่ใช้ชีวิตเหมือนกับเรา เหมือนกับมนุษย์ธรรมดา ในแบบที่ธรรมดาสามัญอย่างที่สุด พวกท่านใช้ชีวิตที่แสนจะธรรมดาเรียบง่าย บางท่านก็แต่งงานและมีลูกด้วย เพราะอะไรหรือ? หากพวกท่านจะเลือกอาศัยอยู่ตามป่าเขา ก็สามารถทําได้อย่าง ง่ายดาย เพื่อหลีกหนีจากเรื่องไร้สาระทั้งปวง แต่พวกท่านไม่ทํา เพราะพวกท่านมาเพื่อมอบขั้นบันไดสําหรับ การวิวัฒนาการของคุณ และนี่คือ สิ่งที่เรียกว่าวิวัฒนาการ คือมหาโยคะ ซึ่งคุณได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณ สิ่งที่เหลือทั้งหมดนั้น ไร้ประโยชน์ไม่มีคุณค่าใดๆ จิตวิญญาณคือตัวตนของคุณ มันคือตัวคุณ คุณมีตัวตนด้วยอัตตาของคุณ ดังนั้นคุณจึงต้องการที่จะ ปรนเปรออัตตาของคุณอยู่เสมอ“ ฉันชอบมัน” “ ฉันชอบมัน” มันหมายความว่านายอัตตาชอบมัน จริงๆแล้วส่วนใหญ่ ตัวตนของเราเองไม่ได้เป็นคนพูดว่า "ฉันชอบมัน" มันแค่รู้สึก มันแค่มีความรู้สึกอยู่ภายในตัวมันเอง มันเป็นความสมบูรณ์ นี่คือ ศักโตปัย ซึ่งหลาย ๆ คนกําลังฝึกฝน แม่ยังไม่เคยเจอ แม้แต่คนเดียวที่จะทําสิ่งนี้ ได้นานจนถึงบัดนี้ แม่หมายถึงพวกเรายังมี ท่าน คุรุ นานัก ท่าน กาบีระ เรามีในประเทศอินเดีย (เรามี)บุคคลที่ยิ่งใหญ่ และพวกเขาได้พูดถึงคนจอมปลอมเหล่านี้ แม้แต่พวก อณูโวปัย ไม่ว่ายังไงพลังกุณฑลินี ก็ต้องตื่นขึ้น มันเกิดขึ้นในกรณีของพระพุทธเจ้า และ ท่านมหาวีระ แต่แม่บอกคุณว่า พวกท่านคือบุตรของพระรามและ หลายพันปีต่อมา พวกท่านก็ได้รับการตระหนักรู้ และพวกท่านก็เป็นเหมือนอวตาร คุณอาจจะ พูดแบบก็นั้นได้ แต่พวกท่านมีสไตล์ที่แตกต่างกัน ตอนนี้เราไม่มีเวลาที่จะเสียเปล่า นี่คือการพิพากษาครั้งสุดท้าย ที่เราต้องละเลิก แนวคิดที่ไร้สาระทั้งหมดของพวกเรา คุณเห็นไหมว่า มันเป็นการยากที่จะพูดกับคนที่ทําธุรกิจ กับพระเจ้า หรือปัญหาทางการเมืองที่เกี่ยวกับพระเจ้า แต่คนที่มีเหตุผลควรรู้ว่า ก่อนอื่นพวกเขาต้องรู้จักตัวเองเป็นสิ่งแรก พวกเขาต้องกลายเป็นตัวของตัวเอง แล้วพวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมดของ วิราฎ ของอัคบาร์ คุณไม่สามารถเรียนรู้ศาสนาจากภายนอกได้ เหมือนกับที่คนเหล่านี้ที่สวด "อัลลอฮ ฮู อัคบาร์ อัลลอฮ ฮู อัคบาร์" แล้วเขาก็ฆ่าคุณ หรือนั่งอยู่ ในโบสถ์และ “ให้เราร้องเพลงสวด อย่างนั้นอย่างนี้” หรือในวัดของเราที่ขาย ยาเสพติดทุกชนิด นี่คือเหตุผลว่าทําไม จึงมีความแตกต่าง คนที่นับถือศาสนา สามารถทําอะไรเช่นนี้ แล้วจากนั้นคุณก็ได้พบกับ คนที่ดี “เป็นสุภาพ บุรุษ” คุณรู้ไหม“ คนที่ดีมาก ๆ ” แต่ไร้ประโยชน์! “ โอ้พวกเขาเก่งมาก” เอาหล่ะ พวกเขาจะทําอะไรดี? พวกเขาจะสร้างสะพานบ้าง หรืออาจจะ สร้างอุโมงค์บ้าง หรืออาจจะสร้างสรรค์งานเขียนนวนิยายหรืออะไรสักอย่าง แต่ ผู้รู้และความรู้ก็ยังแยกกันอยู่ดี พวกเขาไร้ประโยชน์สําหรับตัวพวกเขาเอง แม่กําลังพูดอยู่ ไม่ได้พูดกับคนอื่น และความสับสนจะต้องหมดไปด้วยการบรรลุถึงความสมบูรณ์ในตัวคุณ แต่ตลอดเวลาที่สติของเรา อยู่ภายนอก เอาแต่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นหรือจ้องจับผิดผู้อื่น หรืออยู่กับเรื่องหยุมหยิมทั้งหลาย ทั้งหมดนี้ฟังดูเป็นเรื่องที่หยุมหยิมบนโลกใบนี้ ในการที่เรากําลังใช้พลังงานของเราไปอย่างสูญเปล่า นี่เปรียบเหมือนร้านค้าภายในตัวเรา นี่คือรายรับของเรา นี่คือปัญญาของเรา ซึ่งคุณจะต้องได้รับ ตามสัญญาและเพื่อคุณจะได้เพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านั้น และนี่คือกุญแจสําคัญสําหรับคุณ เปิดใจของคุณให้กว้างและรับมันเอาไว้ มันคือของขวัญ อย่างที่คุณก็รู้ตัวเองอยู่แล้วว่า คุณได้รับ ของขวัญมากมายจากพระเจ้า คุณเป็นมนุษย์ มาได้อย่างไร? คุณได้ทําอะไร เพื่อการได้เป็นมนุษย์หรือ นี่คือของขวัญจากพระเจ้า ร่างมนุษย์ที่งดงามและจิตใจนี้ ทุกสิ่งที่คุณได้รับ และตอนนี้ของขวัญนั้นกําลังจะเปลี่ยนแปลงคุณให้เป็น ของขวัญที่ยอดเยี่ยมและยอดเยี่ยมที่สุด เพื่อที่คุณจะได้รู้จักพระบิดาของคุณ ผู้ที่ได้สร้างคุณขึ้นมา ท่านกระตือรือร้น ที่จะมอบพลังทั้งหมดของท่านให้กับคุณ เช่นเดียวกับพ่อที่ต้องการมอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดของท่าน ดังนั้นจงรับมันไว้ด้วยมือทั้งสอง และจงมีมันและเพลิดเพลินไปกับมัน ก่อนการตระหนักรู้ แม่ไม่ได้บอกคุณว่าคุณต้อง เลิกดื่มเหล้า เลิกสูบบุหรี่ หรือ เลิก นิโรธ ทุกชนิด ไม่ แม่ไม่ได้ขอให้คุณทําอย่างนั้น แต่หลังจากตระหนักรู้แล้ว ด้วยความเต็มใจ คุณจะเลิก คุณจะเลิกมันเอง เพราะตอนนี้คุณได้ลิ้มรสอาหารอันเป็นทิพย์ น้ําอันเป็นทิพย์แล้ว จากนั้นคุณจะไม่ ต้องการอะไรอีกเลย จนกว่าคุณจะได้ลิ้มรสมัน จงให้เวลากับมันสักหน่อย จงอดทน คุณไม่จําเป็นต้องมีการศึกษาที่ดี คุณไม่จําเป็นต้องผ่านการฝึกฝนอย่างดี เช่น การยืนด้วยศรีษะของตัวเอง คุณไม่จําเป็นต้องไปโบสถ์หรืออะไรเลย หากคุณ เป็นมนุษย์ธรรมดา มันก็สามารถเป็นไปได้ แต่ส่วนใหญ่เมื่อเราทําสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เราจะดูผิดปกติ แม้แต่การพูดว่าเรากําลังแสวงหาพระเจ้า ก็ดูเหมือนว่าเรากําลังทําสิ่งที่ผิดปกติอย่างมาก เราต้องเป็นคนปกติอย่างแน่นอน มันเหมือนห้องนี้ที่มืดมิด คุณกําลังนั่งอยู่ ตรงนี้ ตอนนี้คุณต้องนั่งลง มันกําลังจะได้ผล แต่หากเราเริ่มกระโดดไปที่นี่และที่นั่น เราก็จะบาดเจ็บ เหมือนกับการที่เราอยู่บนเรือ เราต้องอยู่แบบเงียบๆไว้ก่อน อยู่ตรงกลาง อยู่ในศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงของเรือ แค่อยู่ที่นั่น นั่นคือธรรมะ ในการดํารงชีวิตของคุณ คุณต้องอยู่ตรงนั้น แม่หมายความว่าการดํารงตนเป็นคนดี คุณไม่ต้องทําอะไรเลย แม่หมายถึงการจะกลายเป็นคนเลว คุณจะต้องทําอะไรสักอย่างใช่หรือไม่ ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับคุณโดย อัตโนมัติเมื่อมีแสงสว่าง คุณแค่อยู่เงียบ ๆ พวกคุณทุกคนก็จะได้รับมัน นั่นคือการออกบวชที่ถูกจัดเตรียม และจัดการเอาไว้อย่างดีแล้ว ในตัวคุณอย่างสวยงาม ทุกอย่างจะถูกจัดเตรียมอยู่ในเมล็ดพันธุ์เพื่อที่จะเกิดเป็นต้นไม้ มันถูกจัดเตรียม เอาไว้แล้วภายในตัวคุณ แต่คุณต้องอยู่ร่วมกัน ทํางานนี้ออกมา เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน และกลุ่มนี้ จะเติบโตขึ้นในความเข้าใจนั้น ในการรวมกลุ่มและสร้างนิวเคลียสเพื่อให้ผู้อื่นได้เดินตาม ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาสําหรับคุณเลย ที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง เพราะ คุณคือคนพิเศษ บางทีแม่อาจเป็นคนพิเศษ และคนพิเศษก็ต้องการใครบางคนที่พิเศษ ดังนั้นแม่จึงต้องลงมาที่นี่ จงมีมันด้วยความชื่นชมยินดี นั่นจะเป็นความคิดที่ดี ไม่จําเป็นต้องรู้สึกว่าถูกบังคับใดๆเลย เพราะมันเป็นสิ่งที่แม่ต้องทําอยู่แล้ว แม่รู้สึกว่าต้องแบกรับมันไว้ และแม่ก็รู้สึกเบาขึ้นเมื่อคุณได้รับมันไป มันก็เหมือนกับคนที่เป็นแม่ แม่จะบอกคุณ บางครั้งแม่ก็ต้องเข้มงวด แม่รู้หน้าที่ของการเป็นแม่ พวกคุณไม่ต้องกลัวแม่แต่อย่างใด แม่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณ อย่างเช่น เรามีชายคนหนึ่งชื่อ ดักกาส อยู่กับเราและแม่ก็ถามเขาอย่างกระทันหันว่า“ วันเกิดของคุณเป็นอย่างไรบ้าง” เขาผงะ เขาไม่รู้ เขานั่งอยู่ตรงนี้ แม่รู้ได้อย่างไรว่าวันเกิดของเขาคือวันนั้น และเขาก็ได้เกิดใหม่จากชีวิตแบบเดิมที่เขาเคยมี และเมื่อแม่พูดกับเขา เขาถามว่า“ คุณแม่รู้ได้ยังไง” แม่ตอบว่า“ แม่รู้เรื่อง วันเกิดของคุณ” และแม่ก็ไปที่บ้านของเขาและได้เห็นเขา [แม่] ดีใจมากที่ได้เห็นเขาลงหลักปักฐาน มันวิเศษมากที่ได้เห็นว่าเมล็ดพันธุ์ของคุณ เจริญเติบโตและส่งกลิ่นหอมเพียงใด ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน หากคุณมีคําถามอะไร โปรดถามแม่ เรามีเวลาน้อย มีเทปอยู่แล้ว 84 ม้วน ที่อยู่กับคนเหล่านี้ และถ้าคุณต้องการเทปสําหรับ ตัวเอง คุณสามารถให้เอาเทปให้พวกเขาและพวกเขาอาจจะอัดเทปให้คุณได้ หรือ บางที.... คนที่ไม่รู้สึกถึงไวเบรชั่นไม่ควรรู้สึกแย่ มีบางอย่างผิดปกติตรงไหนสักแห่ง แม่ไม่สามารถบอกคุณได้ตรงๆ เพราะแม่ไม่อยากทําให้คุณเสียใจไม่ว่าด้วยวิธีใด แต่ไม่เป็นไร แม่กําลังจะทําให้มันได้ผล คุณเห็นไหม หมอจะไม่เดินมาบอกคุณว่า “คุณเป็นโรคเหล่านี้และคุณอาจจะตายได้ในเวลาอีกไม่นาน” หากหมอทําเช่นนั้นได้ แม่ก็เป็นแม่ของพวกคุณทุกคน ดังนั้นแม่จะไม่บอกคุณ ตัวคุณเองก็จะรู้ได้ในภายหลัง ว่าคุณมีอะไรที่ผิดปกติ เพราะถ้าคุณรู้ คุณจะไม่ช่วยเหลือตัวเอง ในทางตรงกันข้ามคุณจะรู้สึกหดหู่ใจ ตอนนี้โปรดวางมือของคุณแบบนี้ แบบนี้ และวางเท้าทั้งสองที่พื้น เหยียดตรง บนพื้น แม่คิดว่าบางทีวันจันทร์หน้าอาจเป็นการนัดคุยกันครั้งสุดท้าย ใช่หรือไม่? มีอีกสองครั้งหรือ คุณก็จะมีแม่ เป็นคนสอนจนจบ เอาล่ะ! ดังนั้นแม่จึงคิดว่าวันจันทร์หน้าแม่จะพูดเกี่ยวกับธาตุและทุกสิ่ง ที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเรา น่าจะดีกว่า ตอนนี้กรุณาหลับตา หากคุณมองดูความคิดของคุณ คุณจะพบว่าไม่มีความคิด หลับตาเอาไว้ ลองดู ไม่มีความคิดในสมองของคุณ ตอนนี้ที่ปลายนิ้วของคุณ คุณจะรู้สึกถึงกระแสลมเย็นที่ไหลผ่าน นั่นหมายถึงการตระหนักรู้ ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะกระแสลมเย็นคือสัญญาณของพระเจ้า ในภาษาสันสกฤตก็คือ สาลิลาม สาลิลาม มีความหมายว่าจิตวิญญาณ เปล่งประกายหรือแผ่รัศมี คุณอาจจะพูดแบบนั้นก็ได้ มันคือกระแสลมเย็น แสงสว่างแห่งจิตวิญญาณคือกระแสลมเย็น พลังอํานาจแห่งพระเจ้า มันเหมือนกับกระแสลม ที่เริ่มลอยตัวหรือผ่านเข้ามาภายในของคุณ ... หากพวกคุณคนไหนรู้สึกง่วง โปรดลืมตา จงตื่นตัว คุณต้องตื่นตัวเพราะสิ่งที่กําลังเกิดขึ้นนี้คือสิ่งที่คุณปรารถนา ดูให้เห็นด้วยตัวเอง ยิ่งคุณมีความปรารถนา มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น คุณรู้สึกถึงกระแสลมเย็นในฝ่ามือไหม?

ดี. หลับตาและเพลิดเพลินกับตัวเอง ทุกคนที่รู้สึกถึงกระแสลมเย็น โปรดยกมือขึ้น ทุกคนเลย ทุกคน ที่รู้สึกถึงกระแสลมเย็นในฝ่ามือ โปรดยกมือขึ้น ทุกคนที่รู้สึก ถึงกระแสลมเย็นในฝ่ามือ โปรดยกมือขึ้น ตอนนี้ผู้ที่มาในวันนี้และยังไม่ได้รับการตระหนักรู้ และยังไม่รู้สึกถึงกระแสลมเย็น โปรดยกมือขึ้น คุณมาข้างหน้าได้ไหม โปรดหลับตา คุณรู้สึกถึงกระแสลมเย็นในฝ่ามือไหม คุณรู้สึกถึงกระแสลมเย็นบ้างไหม ?

Caxton Hall, London (England)

Loading map...